“ถ้าวันหนึ่งฟุตบอลเป็นแบบนี้ ผมจะไม่อยู่ในวงการนี้อีกต่อไป” คำพูดอันโด่งดังของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในปี 2016 ถูกนำกลับมาพูดถึงอีกครั้ง เมื่อลิเวอร์พูลในยุคหลังคล็อปป์กำลังจะสร้างประวัติศาสตร์การใช้เงินในตลาดนักเตะที่สูงที่สุดของสโมสร… นี่คือการ “สองมาตรฐาน” หรือเป็นเพียงกลยุทธ์ที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย?
ซัมเมอร์นี้ ลิเวอร์พูลใช้เงินไปแล้วมากกว่า 200 ล้านปอนด์ และอาจจะพุ่งสูงถึง 300 ล้านปอนด์ หากพวกเขาสามารถปิดดีลกองหน้าคนใหม่ได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น อูโก้ เอกิติเก้ หรือ อเล็กซานเดอร์ อิซัค ที่มีข่าวว่าพวกเขาพร้อมทุ่มถึง 120 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าเหลือเชื่อและสวนทางกับภาพลักษณ์ของสโมสรที่เน้นการใช้เงินอย่างชาญฉลาดมาโดยตลอด
แน่นอนว่าคำพูดของคล็อปป์ถูกนำมาเป็นประเด็นโจมตี แต่หากมองในความเป็นจริงแล้ว การใช้เงินก้อนโตของลิเวอร์พูลในครั้งนี้อาจไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจหรือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างสิ้นเชิง
ความจริงที่ไม่น่าเบื่อ: ใช้เงินเมื่อมีให้ใช้ เจ้าของสโมสรอย่าง Fenway Sports Group (FSG) อาจจะขึ้นชื่อเรื่องความระมัดระวังในการใช้เงิน แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะให้สโมสรใช้จ่ายเงินของตัวเองได้อย่างอิสระเสมอ เมื่อมีทรัพยากรและสถานการณ์เอื้ออำนวย
ในยุคของคล็อปป์ ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ส่วนหนึ่งก็มาจากการทุ่มเงินเป็นสถิติคว้าตัว เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค (75 ล้านปอนด์) และ อลิสซอน เบ็คเกอร์ (66.8 ล้านปอนด์) ซึ่งดีลเหล่านั้นเกิดขึ้นได้เพราะสโมสรขาย ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ออกไปในราคาที่ใกล้เคียงกัน มันคือโมเดล “ซื้อแพง แต่ขายให้แพงกว่า แล้วนำเงินกลับมาใช้ใหม่”
แล้วทำไมตอนนี้ถึงทุ่มหนัก? คำตอบคือ “สถานการณ์มันเอื้ออำนวย” ลิเวอร์พูลในตอนนี้อยู่ในจุดที่แข็งแกร่งทางการเงินที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ พวกเขาเพิ่งจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก, ทำรายได้มหาศาลจากแชมเปี้ยนส์ ลีก และยังขายผู้เล่นจากอคาเดมี่ทำกำไรไปแล้วกว่า 45 ล้านปอนด์ในซัมเมอร์นี้ ทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขามี “กระสุน” ในมือมากพอที่จะทุ่มในตลาดนักเตะ
แม้โศกนาฏกรรมของ ดิโอโก้ โชต้า จะเพิ่มความเร่งด่วนในการหากองหน้าคนใหม่ แต่แผนการที่จะเสริมทัพครั้งใหญ่ก็มีอยู่ก่อนแล้ว นี่คือช่วงเวลาแห่งโอกาสที่แชมเปี้ยนจะใช้ความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อ “ทิ้งห่าง” คู่แข่ง ไม่ใช่การใช้เงินเพื่อ “ไล่ตาม” เหมือนในอดีต
บทสรุปคือ การใช้เงินของลิเวอร์พูลในครั้งนี้อาจจะดูขัดกับคำพูดในอดีต แต่หากมองให้ลึกลงไป มันคือการดำเนินกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับสถานะทางการเงินและความทะเยอทะยานของสโมสรในปัจจุบัน ที่ต้องการจะรักษาความยิ่งใหญ่ไว้ในระยะยาว