7msport

“ผมเป็นของซาอุดีอาระเบีย” โรนัลโด้ ลั่นวาจาหลังต่อสัญญาใหม่, หนุนบอลโลก 2034 สุดตัว

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซูเปอร์สตาร์ระดับโลก ได้ตอกย้ำถึงความผูกพันที่เขามีต่อประเทศซาอุดีอาระเบีย ด้วยการประกาศอย่างหนักแน่นว่า “ผมเป็นของซาอุดีอาระเบีย” พร้อมทั้งแสดงความเชื่อมั่นว่าฟุตบอลโลก 2034 ที่ซาอุดีอาระเบียจะเป็นเจ้าภาพ จะเป็นครั้งที่ “สวยงามที่สุด” เท่าที่เคยมีมา

ตามรายงานจาก “ดิ แอธเลติก” ดาวยิงวัย 40 ปี ได้จรดปากกาเซ็นสัญญาฉบับใหม่กับ อัล-นาสเซอร์ สโมสรต้นสังกัดในศึกซาอุดี โปรลีก ออกไปอีก 2 ปีเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

โรนัลโด้ ซึ่งย้ายมาร่วมทีม อัล-นาสเซอร์ เมื่อเดือนมกราคม 2023 ได้แสดงความเชื่อมั่นในลีกซาอุฯ มาโดยตลอด โดยเคยกล่าวเมื่อเดือนมกราคม 2024 ว่าลีกแห่งนี้ดีกว่า ลีก เอิง ของฝรั่งเศสเสียอีก

ในการให้สัมภาษณ์กับสโมสรล่าสุด เขากล่าวว่า “แน่นอนว่าเรา (ซาอุดี โปรลีก) ยังคงพัฒนาต่อไป ผมเชื่อว่าในตอนนี้เราติดท็อป 5 (ลีกที่ดีที่สุดในโลก) แล้ว ผมยังคงเชื่อว่าเราจะพัฒนาต่อไป และเรายังมีเวลา เราได้แสดงให้เห็นแล้วในช่วงสองปีที่ผ่านมาว่าลีกกำลังเติบโตขึ้นตลอดเวลา ผมมีความสุขเพราะผมรู้ว่าลีกมีการแข่งขันสูงมาก มีแต่คนที่ไม่เคยเล่นในซาอุดีอาระเบียและไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฟุตบอลเลยเท่านั้นที่จะบอกว่าลีกนี้ไม่ใช่ท็อป 5 (ของโลก)”

“ผมเชื่อมั่นในคำพูดของผม 100% และคนที่เล่นในลีกนี้ก็รู้ว่าผมกำลังพูดถึงอะไร นั่นคือเหตุผลที่ผมต้องการอยู่ที่นี่ (ในซาอุฯ) ต่อไป เพราะผมเชื่อมั่นในโครงการนี้ ไม่ใช่แค่สองปีข้างหน้า แต่ไปจนถึงปี 2034 ซึ่งเป็นปีที่ฟุตบอลโลกจะจัดขึ้นที่ซาอุดีอาระเบีย ผมเชื่อว่านั่นจะเป็นฟุตบอลโลกที่สวยงามที่สุดเท่าที่เคยมีมา”

เมื่อถูกถามว่าเขาจะพิจารณาลงทุนในวงการกีฬาของซาอุดีอาระเบียในอนาคตหรือไม่ โรนัลโด้กล่าวว่าการเป็นโค้ชไม่ได้อยู่ในแผนของเขา แต่ “โครงการต่างๆ และการเป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตของประเทศ เพื่อที่จะได้อยู่เคียงข้างประเทศ แน่นอน ผมจะอยู่เคียงข้างประเทศ เพราะผมไม่ได้มาที่นี่เพียงเพื่อเล่นฟุตบอล ผมมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของประเทศ ผมเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนั้น”

“อย่างที่ผมพูดมาหลายครั้ง ผมเป็นของซาอุดีอาระเบีย ผมเป็นชาวโปรตุเกส แต่ผมเป็นของซาอุดีอาระเบีย

อย่างไรก็ตาม การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกของซาอุดีอาระเบียก็เผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มสิทธิมนุษยชน ซึ่งแสดงความกังวลในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติต่อแรงงานข้ามชาติ, สตรี และกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) รวมถึงคดีฆาตกรรม จามาล คาช็อกกี นักข่าวชื่อดัง ซึ่งคล้ายคลึงกับคำถามที่เคยเกิดขึ้นกับกาตาร์ในการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2022

แม้จะมีความกังวลเหล่านี้ รายงานการประเมินของฟีฟ่ากลับให้คะแนนการเสนอตัวของซาอุฯ ว่าแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมา และประเมินความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนไว้เพียงระดับปานกลาง ซึ่งถูกวิจารณ์จาก สตีฟ ค็อกเบิร์น หัวหน้าฝ่ายสิทธิแรงงานและกีฬาของ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ว่าเป็น “การฟอกขาวที่น่าตกใจต่อบันทึกด้านสิทธิมนุษยชนที่เลวร้ายของประเทศ”

รัฐบาลซาอุดีอาระเบียกล่าวว่าเหตุผลในการขยายบทบาทด้านกีฬาคือเพื่อสร้างโอกาสในการลงทุน, ปรับปรุงสาธารณสุขในประเทศ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกีฬา โดยมีเป้าหมายหนึ่งคือการเพิ่มจำนวนผู้เล่นฟุตบอลชายที่ลงทะเบียนจาก 21,000 คน เป็นมากกว่า 200,000 คน แต่เบื้องหลังนั้น กีฬาได้กลายเป็นหนึ่งในเสาหลักของ “วิสัยทัศน์ 2030” (Vision 2030) ของมกุฎราชกุมาร โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งหวังจะปฏิรูปเศรษฐกิจของซาอุฯ ให้พ้นจากการพึ่งพาน้ำมัน, ลดทอนภาพลักษณ์ที่ไม่ดีด้านสิทธิมนุษยชน และตอบสนองต่อประชากรวัยหนุ่มสาวที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีฟุตบอลโลก 2034 เป็นมงกุฎแห่งความสำเร็จสูงสุด