จากตัวหลักสู่ตัวสำรอง… โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ ได้เปิดเผยความรู้สึกอย่างหมดเปลือกผ่านหนังสือชีวประวัติฉบับปรับปรุงใหม่ของเขา โดยเรียกฤดูกาลที่ผ่านมาว่าเป็น “ฤดูกาลที่เลวร้ายที่สุดในแง่ส่วนตัวเท่าที่เคยประสบมาในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ”
แบ็กซ้ายทีมชาติยูเครนเล่าย้อนไปว่า แม้สภาพร่างกายของเขาจะฟิตสมบูรณ์กว่าปีก่อนๆ แต่เขากลับพบว่าตัวเองต้องหลุดจาก 11 ตัวจริงอย่างสิ้นเชิง โดยได้ออกสตาร์ทในเกมพรีเมียร์ลีกเพียง 5 นัดเท่านั้น
“การเปลี่ยนจากหนึ่งในผู้เล่นตัวหลักของทีมไปเป็นตัวสำรองที่ไม่ได้ใช้งานนั้นรับมือได้ยากกว่ามาก” ซินเชนโก้เขียน “ความรู้สึกของการถูกปฏิเสธที่คุณรู้สึกได้ หากผู้จัดการทีมไม่เชื่อมั่นในตัวคุณอีกต่อไป มันสามารถทำลายคุณได้ แม้ว่าคุณจะเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุดในโลกก็ตาม”
ความเจ็บปวดไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ตัวเขา แต่ยังรวมถึงครอบครัวด้วย เขาเล่าถึงเหตุการณ์ที่ภรรยาพาลูกสาวสองคนไปดูเกมที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
“เอวา ลูกสาวคนโตวัยสามขวบครึ่งพูดกับเลอาว่า ‘ดูสิ นั่นพ่อไง!’ เลอามองไปทั่วสนามแต่หาผมไม่เจอ แล้วเอวาก็ชี้ไปแล้วพูดว่า ‘ไม่ พ่อไม่ได้เล่น พ่อนั่งอยู่บนม้านั่งสำรอง’ “
“การได้ยินแบบนั้นมันทำให้ผมเจ็บปวดมาก มันทำให้ผมรู้สึกละอายใจ”
สาเหตุหลักที่ทำให้เขาหลุดจากทีมคือการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากการมาถึงของ ริคคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ และที่สำคัญกว่านั้นคือการแจ้งเกิดอย่างรวดเร็วของดาวรุ่งจากอคาเดมี่อย่าง ไมลส์ ลูอิส-สเคลลี่
“เขาเข้ามาและยึดตำแหน่งแบ็กซ้ายเป็นของตัวเอง” ซินเชนโก้กล่าวยกย่องรุ่นน้อง “เขาเป็นพรสวรรค์ที่พิเศษ เป็นผู้เล่นที่ดีมาก สิ่งที่เขาทำมันน่าเหลือเชื่อจริงๆ”
แม้จะผิดหวัง แต่ซินเชนโก้ยังคงแสดงความเป็นมืออาชีพอย่างเต็มที่ เขาแสดงความยินดีกับ ลูอิส-สเคลลี่ ตอนที่ถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ และพยายามสนับสนุนเพื่อนร่วมทีมอย่างเต็มที่ในสนามซ้อม
“ผมเป็นมืออาชีพและมันเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องทำต่อไป ผมไม่ใช่คนที่จะเข้ามาทำหน้าบึ้งหรือสร้างบรรยากาศที่ไม่ดี ผมยังคงพยายามทำทุกอย่างที่ถูกร้องขอและมีความสุขที่ได้เล่นในทุกตำแหน่งเพื่อทีม”
อนาคตของซินเชนโก้ยังคงไม่แน่นอน โดยเหลือสัญญาในถิ่นเอมิเรตส์อีกเพียงปีเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือความปรารถนาของเขา “ผมยังคงต้องการเล่นฟุตบอล ผมอยากจะสนุกกับเกมและกลับบ้านด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าอีกครั้ง”