7msport

“Cold Palmer” ไม่ใช่แค่ฉายา! “โคล พาลเมอร์” จดเครื่องหมายการค้า-สโมสรจะใช้ต้องจ่ายเงิน

“โคลด์ พาลเมอร์” (Cold Palmer) ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ฉายาที่แฟนบอลคุ้นหูอีกต่อไป เมื่อล่าสุด โคล พาลเมอร์ เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งของเชลซีและทีมชาติอังกฤษ ได้ทำการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า (Trademark) สำหรับคำว่า “Cold Palmer” และลายเซ็นของเขาอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งถือเป็นการเดินเกมธุรกิจที่ชาญฉลาดและอาจส่งผลกระทบในวงกว้าง

การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าซึ่งได้รับการอนุมัติจากสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาของสหราชอาณาจักร หมายความว่า พาลเมอร์จะมีสิทธิ์ตามกฎหมายแต่เพียงผู้เดียวในการใช้คำว่า “Cold Palmer” เพื่อวัตถุประสงค์ในเชิงพาณิชย์ และใครก็ตามที่ต้องการจะใช้ชื่อนี้จะต้องได้รับอนุญาตจากเขาก่อน

ที่น่าสนใจคือ รายการสินค้าที่เขาได้ยื่นจดทะเบียนนั้นครอบคลุมกว้างขวางอย่างยิ่ง ตั้งแต่ สบู่, เกลืออาบน้ำ, ขนมขบเคี้ยว, ใบมีดโกน, เคสโทรศัพท์มือถือ, โดรน, ของเล่น ไปจนถึงตุ๊กตาหมี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในระยะยาวของเขา

ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมองว่านี่คือการเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาดของนักเตะยุคใหม่ เพื่อ “ปกป้องอัตลักษณ์ของแบรนด์” และ “สร้างช่องทางรายได้ในระยะยาว” ผ่านการให้ลิขสิทธิ์ (Licensing) ไม่ว่าจะเป็นในวิดีโอเกม, สินค้าที่ระลึก หรือการร่วมมือกับแบรนด์ต่างๆ นอกจากนี้ เขายังอยู่ในระหว่างการยื่นจดทะเบียนท่าดีใจ “หนาวสั่น” อันเป็นเอกลักษณ์ของเขาอีกด้วย

ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดคือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสโมสรเชลซีและสปอนเซอร์ต่างๆ ตามปกติแล้ว สัญญามาตรฐานของนักเตะพรีเมียร์ลีกไม่ได้ครอบคลุมถึงสิทธิ์ในเครื่องหมายการค้าที่นักเตะจดทะเบียนด้วยตัวเอง ซึ่งหมายความว่า ต่อไปนี้หาก เชลซี หรือแม้กระทั่งเกมฟุตบอลชื่อดังอย่าง EA Sports FC ต้องการจะใช้คำว่า “Cold Palmer” หรือนำท่าดีใจ “หนาวสั่น” ของเขาไปใช้ในเกมเพื่อการค้า พวกเขาจะต้องได้รับการอนุญาตและอาจจะต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้กับพาลเมอร์โดยตรง ซึ่งถือเป็นช่องทางรายได้ใหม่ที่น่าทึ่งสำหรับตัวนักเตะ

โคล พาลเมอร์ ไม่ใช่คนแรกที่ทำเช่นนี้ ก่อนหน้านี้มีซูเปอร์สตาร์หลายคนที่เดินมาในเส้นทางนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น เดวิด เบ็คแฮม, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (CR7 และท่าดีใจ “Siuuu”), ลิโอเนล เมสซี่, คีเลียน เอ็มบัปเป้ ไปจนถึง เออร์ลิง ฮาแลนด์

การเคลื่อนไหวของพาลเมอร์ในครั้งนี้ คือเครื่องยืนยันที่ชัดเจนถึงเทรนด์ของ “นักฟุตบอลที่กลายเป็นธุรกิจ” ซึ่งผู้เล่นยุคใหม่ต่างหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างและควบคุมแบรนด์ของตัวเองมากขึ้น และอาจเป็นการจุดประกายให้นักเตะคนอื่นๆ หันมาทำตามในอนาคต