7msport

ทำไมฟุตบอลยุคนี้ถึงยิงประตูท้ายเกมเยอะขึ้น? เจาะลึกเบื้องหลังเทรนด์ “ดราม่าทดเจ็บ”

เมื่อวันเสาร์ที่ 27 กันยายน 2025 ที่ผ่านมา พรีเมียร์ลีกได้สร้างสถิติหน้าใหม่ขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีการทำประตูในช่วงนาทีที่ 90 เป็นต้นไป มากถึง 8 ประตูภายในวันเดียว ซึ่งถือเป็นจำนวนที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดอังกฤษ ปรากฏการณ์นี้ได้จุดประกายคำถามสำคัญขึ้นมาว่า เกิดอะไรขึ้นกับฟุตบอลยุคใหม่? และทำไม “ดราม่าทดเจ็บ” ถึงเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนกลายเป็นเรื่องปกติ

ก่อนที่เราจะไปวิเคราะห์ถึงสาเหตุ คงต้องเตือนแฟนบอลทุกคนว่า การรีบเดินออกจากสนามก่อนสิ้นเสียงนกหวีดยาวในยุคนี้ อาจเป็นการตัดสินใจที่เสี่ยงต่อการพลาด “ช่วงเวลาสำคัญที่สุด” ของเกมไปอย่างน่าเสียดาย

VAR, เวลาทดเจ็บที่นานขึ้น และแท็คติก “โยนบอมบ์”

ปัจจัยที่ชัดเจนที่สุดที่ทำให้เกิดประตูท้ายเกมมากขึ้น คือการมี เวลาทดเวลาบาดเจ็บที่ยาวนานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการนำเทคโนโลยี VAR เข้ามาใช้ และกฎการทดเวลาตามจริงที่เข้มงวดขึ้น เมื่อเกมการแข่งขันมีเวลาเพิ่มขึ้น 10, 12 หรือแม้กระทั่ง 15 นาทีในช่วงท้าย โอกาสในการทำประตูย่อมเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

เมื่อรวมกับความกดดันของทีมที่ต้องการประตูเพื่อตีเสมอหรือคว้าชัยชนะ ยิ่งทำให้ช่วงทดเวลาบาดเจ็บกลายเป็นช่วงเวลาแห่งการใช้แท็คติกแบบ “วัดดวง” หรือ “โยนบอมบ์” เข้าใส่กรอบเขตโทษคู่แข่ง ซึ่งนำไปสู่ความโกลาหลและโอกาสในการทำประตูที่มากขึ้น

“ลูกตั้งเตะ” อาวุธเด็ดนาทีบาป

ประตูท้ายเกมจำนวนมากในวันเสาร์ที่ผ่านมา ล้วนมีจุดเริ่มต้นมาจาก “ลูกตั้งเตะ” ไม่ว่าจะเป็นประตูของ เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ (คริสตัล พาเลซ) ที่มาจากลูกทุ่มไกล, ประตูของ มักซิม เดอ ไคเปอร์ (ไบรท์ตัน) ที่มาจากลูกเตะมุม หรือประตูของ เอลี จูเนียร์ ครูปี (บอร์นมัธ) ที่มาจากลูกฟรีคิก ซึ่งยืนยันได้ว่าลูกนิ่งคืออาวุธที่อันตรายที่สุดในช่วงเวลาที่เกมเปิดแลกกัน

โธมัส ทูเคิล ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ เคยกล่าวไว้ว่า “ลูกทุ่มไกลได้กลับมาแล้ว” ซึ่งข้อมูลในฤดูกาลนี้ก็สนับสนุนทฤษฎีดังกล่าว และมันได้กลายเป็นอีกหนึ่งแท็คติกสำคัญในช่วงท้ายเกม

ความผิดพลาดส่วนบุคคลและพลังของตัวสำรอง

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ “ความเหนื่อยล้า” ของผู้เล่นที่อยู่ในสนามมาเกือบ 100 นาที ซึ่งมักจะนำไปสู่ความผิดพลาดส่วนบุคคลง่ายๆ เช่น การสกัดบอลไม่ขาด, การประกบตัวพลาด หรือการเสียฟาวล์โดยไม่จำเป็นในพื้นที่อันตราย ดังที่เกิดขึ้นกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่เสียฟรีคิกจนนำไปสู่การเสียประตูตีเสมอ

นอกจากนี้ พลังของ “ตัวสำรอง” ที่มีความสดใหม่กว่าก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญ ผู้เล่นอย่าง เอ็นเคเทียห์, เดอ ไคเปอร์, ครูปี, แดนนี่ เวลเบ็ค และ มาธิอัส เยนเซ่น ล้วนเป็นตัวสำรองที่ลงมายิงประตูในช่วงทดเจ็บในวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความสำคัญของการมีซูเปอร์ซับที่สามารถลงมาเปลี่ยนเกมได้

จากปัจจัยทั้งหมดนี้ สรุปได้ว่าปรากฏการณ์ “ประตูท้ายเกม” ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฟุตบอลสมัยใหม่ ทั้งกฎกติกา, เทคโนโลยี และแท็คติก ดังนั้น หากเกมยังไม่จบลงอย่างเป็นทางการ แฟนบอลก็ไม่ควรละสายตาไปจากสนามแม้แต่วินาทีเดียว