ซันเดอร์แลนด์ เดินหน้าใช้งบประมาณมหาศาลในตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์หลังจากกลับคืนสู่ พรีเมียร์ลีก โดยการเสริมทัพครั้งนี้ถือว่าเกินกว่าที่แฟนบอลส่วนใหญ่คาดหวัง ทั้งยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่ไม่ธรรมดาของสโมสร
คำถามคือ พวกเขาทำได้อย่างไร และการใช้เงินก้อนนี้จะส่งผลต่ออนาคตอย่างไร?
แม้จะถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวาง แต่สิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจแนวทางของ ซันเดอร์แลนด์ คือการมองจากฐานะทางการเงินที่สโมสรสร้างไว้ตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่รายได้จากการเลื่อนชั้นที่ สนามเวมบลีย์ พวกเขาขาย แจ็ค คลาร์ก ให้กับ อิปสวิช ทาวน์ ที่มูลค่าเริ่มต้น 15 ล้านปอนด์, ทอมมี วัตสัน ให้กับ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ที่อาจพุ่งถึง 11 ล้านปอนด์ และ โจ้บ เบลลิงแฮม ไป โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในดีลที่น่าจะทะลุ 30 ล้านปอนด์ในอนาคต
ด้วยเหตุนี้ ตัวเลขสุทธิของการใช้จ่ายซัมเมอร์จึงอยู่ที่ราว 100 ล้านปอนด์ แม้จะมีการลงทุนรวมทั้งหมดราว 150 ล้านปอนด์ และอาจพุ่งถึง 180 ล้านปอนด์หากโบนัสเสริมถูกเปิดใช้งาน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้ถือว่าเสี่ยงจนเกินไป เพราะต่อให้ตกชั้นในฤดูกาลนี้ สโมสรยังมีรายได้จากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดและค่าชดเชย (parachute payments) รวมกันราว 200 ล้านปอนด์ในอีกสามปีข้างหน้า
หลายคนสงสัยว่า ซันเดอร์แลนด์ ทำอย่างไรจึงยังคงปฏิบัติตามกฎ PSR (Profit and Sustainability Rules) ได้
PSR กำหนดให้สโมสรใน พรีเมียร์ลีก สามารถขาดทุนได้ราว 105 ล้านปอนด์ภายในสามปี แต่สำหรับทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้นอย่าง ซันเดอร์แลนด์ ตัวเลขนี้ถูกจำกัดไว้เพียง 61 ล้านปอนด์ ในกรณีของพวกเขา จะนับรวมฤดูกาล 2023/24, 2024/25 และปัจจุบัน
ในซีซัน 2023/24 พวกเขามีการขาย รอสส์ สจวร์ต ให้กับ เซาแธมป์ตัน ส่งผลให้ขาดทุนเพียง 8.1 ล้านปอนด์ ซึ่งน้อยกว่าสโมสรชั้นนำใน แชมเปียนชิพ หลายทีม อีกทั้งงบประมาณค่าเหนื่อยก็ไม่สูงนัก โดยอยู่ในอันดับ 9 ของลีก ทำให้สามารถเริ่มลงทุนได้โดยไม่กังวลกับภาระค่าใช้จ่ายเดิม
ที่สำคัญ ค่าใช้จ่ายในการซื้อนักเตะยังถูกเฉลี่ยตามอายุสัญญาผ่านระบบ amortisation เช่น นักเตะค่าตัว 20 ล้านปอนด์ที่เซ็นสัญญา 5 ปี จะถูกบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายเพียง 4 ล้านปอนด์ต่อปี ซึ่งช่วยลดแรงกดดันทางบัญชีลงอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม หากตกชั้น ผลกระทบย่อมตามมาเหมือนทุกทีมที่หล่นจากลีกสูงสุด โดย ซันเดอร์แลนด์ จะต้องขายผู้เล่นเพื่อรักษาความสมดุลทางการเงิน ซึ่งสโมสรได้วางแผนไว้แล้วผ่านการลงทุนกับนักเตะอายุน้อยที่มีมูลค่าขายต่อสูง เช่น ฮาบิบ เดียรา, เชมสดีน ทาลบี และ โนอาห์ ซาดิกี รวมถึงการต่อสัญญาระยะยาวกับดาวรุ่งอย่าง เอลีเซอร์ มายเอนดา, คริส ริกก์ และ ไทร ฮูม จนถึงปี 2030
คริสเตียน สปีคแมน ผู้อำนวยการกีฬาของสโมสร ย้ำว่าสโมสรเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต และได้วางมาตรการป้องกันเอาไว้ หากทีมต้องหล่นจาก พรีเมียร์ลีก อีกครั้ง
แล้วถ้าสโมสรอยู่รอดบนลีกสูงสุดได้ล่ะ?
แม้จะไม่สามารถใช้เงินระดับ 150 ล้านปอนด์ได้ทุกปี แต่เป้าหมายคือการสร้างทีมแกนหลักให้พร้อมสำหรับอนาคตและเสริมเฉพาะตำแหน่งสำคัญเป็นครั้งคราว หากรอดตกชั้นเพดานการขาดทุนจะขยับขึ้นเป็น 83 ล้านปอนด์ และต่อไปถึง 105 ล้านปอนด์ในปีที่สาม ขณะเดียวกัน รายได้จาก พรีเมียร์ลีก จะช่วยหนุนให้สถานะการเงินแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ดังนั้น แผนการใช้จ่ายครั้งนี้ของ ซันเดอร์แลนด์ ไม่ใช่การเสี่ยงอย่างบ้าบิ่น แต่คือการลงทุนที่ถูกวางรากฐานไว้เพื่ออนาคต ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นการยืนระยะในลีกสูงสุดหรือการกลับมาฟื้นตัวหากต้องตกชั้นก็ตาม