เกมที่สามของ อาร์เซนอล ในช่วงพรีซีซั่น – หลังจากคว้าชัยสองนัดติดต่อกันเหนือ เอซี มิลาน และ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด – จบลงด้วยความรู้สึกที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
การปราชัย 0-1 ต่อคู่แข่งร่วมลอนดอนเหนืออย่าง ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ สร้างบรรยากาศหดหู่ให้กับช่วงเวลาที่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าจะไปได้สวยของทีม มิเกล อาร์เตต้า โดยลูกยิงสุดสวยของ ปาเป้ มาตาร์ ซาร์ เป็นประตูชัยที่เกิดจากความผิดพลาดของ ดาวิด รายา ที่ออกมาตัดบอลพลาด
ต่อไปนี้คือ 4 บทเรียนสำคัญที่ได้จากเกมนี้โดยทีมข่าว VAVEL UK
1. วิคเตอร์ เยอเคเรส ยังไม่ถูกปล่อยของเต็มที่
การลงสนามของ วิคเตอร์ เยอเคเรส แข้งใหม่ชาวสวีเดนที่เพิ่งย้ายมาไม่นาน เป็นหนึ่งในสิ่งที่ดึงดูดแฟนบอลให้แห่กันเข้ามาชมที่สนาม ไคตัก สเตเดียม ที่ฮ่องกง
แต่สุดท้าย เยอเคเรส หมายเลข 14 คนใหม่ของ อาร์เซนอล ได้ลงเล่นเพียง 13 นาทีบวกช่วงทดเวลาเท่านั้น โดยไม่มีโอกาสยิงแม้แต่ครั้งเดียว และสัมผัสบอลเพียงสองครั้ง
มิเกล อาร์เตต้า กล่าวถึงเวลาในสนามของ เยอเคเรส และแข้งใหม่อีกคนอย่าง คริสเตียน มอสเกวรา ว่าทั้งคู่จะมีบทบาทมากขึ้นในเกมต่อ ๆ ไป
ขณะที่ ไค ฮาแวร์ตซ์ ได้ออกสตาร์ทในตำแหน่งกองหน้าเหมือนนัดที่เจอกับ นิวคาสเซิล แต่ครั้งนี้ไม่สามารถสร้างสกอร์ได้ โดยแม้จะมีโอกาสยิงตรงกรอบแต่ก็ไม่ผ่านมือนายด่านฝ่ายตรงข้าม
2. ความระวังตัวเกินไปของ อาร์เตต้า เริ่มกลายเป็นประเด็นร้อน
แม้ว่า อาร์เซนอล จะมีโอกาสยิงถึง 16 ครั้ง แต่กลับไม่สามารถสร้างปัญหาให้ กุยเยลโม่ วีคาริโอ นายประตูของ สเปอร์ส ได้เลย โดยเจ้าตัวต้องออกแรงเซฟเพียงครั้งเดียว
ทีมของ อาร์เตต้า เน้นการเปิดบอลจากด้านข้างเป็นหลัก โดยพยายามถึง 33 ครั้ง แต่สำเร็จเพียง 8 ครั้งเท่านั้น แนวรับของ ท็อตแนม โดยเฉพาะวิงแบ็คทั้งสองฝั่งจัดการกับลูกเปิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แฟนบอลจำนวนมากในโลกออนไลน์เริ่มวิจารณ์ระบบเกมรุกของ อาร์เซนอล หนักขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการจัดตำแหน่งของแนวรุกหลังจากการเปิดบอลเข้ากรอบเขตโทษที่ดูไม่มีมิติ
หากแนวรุกยังติดขัดแบบนี้ต่อไปในเกมถัด ๆ ไป อาจสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมให้ อาร์เตต้า โดยเฉพาะในฤดูกาลที่ อาร์เซนอล ต้องสู้แย่งแชมป์กับ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
3. ยุคแนวรับแน่นของ โธมัส แฟรงค์ มาแทนที่เกมรุกดุดันของ อังเก้ ปอสเตโคกลู
หากจะใช้คำใดคำหนึ่งเพื่ออธิบาย ท็อตแนม ภายใต้การคุมทีมของ โธมัส แฟรงค์ คงไม่พ้นคำว่า “นิ่ง”
แม้จะเสมอกับทีมจากลีกรองถึงสองนัด แต่การเก็บคลีนชีตได้ถึง 3 จาก 4 เกมพรีซีซั่น แสดงให้เห็นว่ากุนซือชาวเดนมาร์กรายนี้มีแนวทางการเล่นที่เน้นความเหนียวแน่นในแนวรับ
เมื่อเปรียบเทียบกับ อังเก้ ปอสเตโคกลู ซึ่งเน้นเกมบุกแบบเปิดหน้าชน ทำให้ สเปอร์ส กลายเป็นทีมที่มีเกมยิงประตูแบบผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างต่อเนื่อง แต่ภายใต้ แฟรงค์ ทุกอย่างดูมีระเบียบมากขึ้น
เปโดร ปอร์โร่ รับมือกับ บูกาโย ซาก้า ได้ดี ส่วน มิคกี้ ฟาน เดอ เฟน และ คริสเตียน โรเมโร่ ก็จัดการลูกกลางอากาศและลูกเข้าทำได้อย่างยอดเยี่ยม เช่นเดียวกับ เจด สเปนซ์ ที่แม้จะไม่โด่งดังมากแต่ทำได้ถึง 3 สกัดบอลและ 4 แท็กเกิลในตำแหน่งแบ็คซ้าย
4. ปาเป้ มาตาร์ ซาร์ ฉายแววเด่นต่อเนื่อง
ลูกยิงสุดงามของกองกลางทีมชาติเซเนกัลรายนี้ถือเป็นประตูที่สามในเดือนกรกฎาคมของเขา ต่อจากที่ยิงสองลูกใส่ วีคอมบ์ วันเดอเรอร์ส
ในตำแหน่งกองกลาง เขามีความโดดเด่นมากกว่า โรดริโก้ เบนตันกูร์ โดยเฉพาะในแง่ของการเติมเกมบุกและการแย่งบอลจากคู่แข่ง
หลังจบเกม โธมัส แฟรงค์ ออกมาชื่นชมดาวเตะวัย 22 ปีว่า
“ผมคิดว่า ปาเป้ ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมาก ผมชอบฟอร์มการเล่นของเขาในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งในการซ้อมและในเกม เขากำลังพัฒนา และวันนี้ฟอร์มโดยรวมของเขา…ยอดเยี่ยมจริง ๆ”
ซาร์ จบเกมด้วยสถิติเข้าปะทะชนะ 7 จาก 10 ครั้ง, ชนะลูกกลางอากาศทั้งสองครั้ง, แท็กเกิล 5 ครั้ง และเคลียร์บอลอีก 4 ครั้ง เป็นอีกหนึ่งฟอร์มที่แสดงให้เห็นว่าเขายากจะแทนที่ในแผงกลางของ สเปอร์ส