เมื่อเราพูดถึง เรอัล มาดริด เรามักจะเฉลิมฉลองให้กับความสุดยอดของผู้เล่นมากกว่าโค้ช เราจะโฟกัสไปที่ความสามารถเฉพาะตัวอันน่าทึ่ง มากกว่าไอเดียและแทคติคที่ถูกขัดเกลาบนสนามซ้อม… นี่คือเทรนด์ที่หยั่งรากลึกมาอย่างยาวนาน และการมาถึงของ ชาบี อลอนโซ่ คือบททดสอบครั้งสำคัญของปรัชญานี้
ย้อนกลับไปในยุค 1950s ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ได้สร้างรากฐานของสโมสรด้วยการเซ็นสัญญากับผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลกมารวมกัน ทั้ง อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่, เฟเรนซ์ ปุสกัส และ เรย์มงด์ โกปา ซึ่งนำไปสู่ยุคทองแรกของสโมสรด้วยการคว้าแชมป์ยุโรป 5 สมัยติดต่อกัน ปรัชญานี้ถูกสืบทอดมาจนถึงยุค “กาลาคติกอส” ของ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ
“แชมป์ยุโรป 7 สมัยล่าสุดของเรามาจากโค้ชอย่าง (บิเซนเต้) เดล บอสเก้, (ซีเนดีน) ซีดาน และ (คาร์โล) อันเชล็อตติ ซึ่งพวกเขาไม่ใช่โค้ชที่เน้นแทคติคเป็นพิเศษ” ฆอร์เก้ บัลดาโน่ อดีตผู้เล่นและผู้จัดการทั่วไปของสโมสรกล่าว “สำหรับซีดาน สิ่งที่สำคัญคือความสัมพันธ์ระหว่างผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่แทคติค”
แนวทางนี้ทำให้โค้ชที่โดดเด่นในเรื่องการทูตและการจัดการคน มักจะประสบความสำเร็จในถิ่นเบร์นาเบวมากกว่าโค้ชที่พยายามจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงด้วยแทคติคที่เข้มข้น ดังเช่นกรณีของ ฟาบิโอ คาเปลโล่ หรือ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่แม้จะพาทีมคว้าแชมป์ได้ แต่สุดท้ายก็ต้องเผชิญกับปัญหากับบรรดาผู้เล่นซูเปอร์สตาร์และต้องอำลาทีมไป
การมาถึงของ ชาบี อลอนโซ่ จึงเปรียบเสมือนการเริ่มต้น “วัฏจักรใหม่” เขาคือโค้ชที่มีแนวคิดทางแทคติคที่ชัดเจน ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากการร่วมงานกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และเขาได้พยายามที่จะปลูกฝังแนวทางนี้ให้กับทีมทันที
อย่างไรก็ตาม ความพ่ายแพ้ต่อ เปแอสเช 0-4 ในศึกสโมสรโลก คือเครื่องเตือนใจถึงความท้าทายครั้งใหญ่ที่เขากำลังเผชิญ แหล่งข่าววงในตั้งคำถามว่าแทคติคที่เข้มข้นของเขาจะ “ยั่งยืน” ในระยะยาวหรือไม่ และที่สำคัญคือบรรดาผู้เล่นซูเปอร์สตาร์อย่าง คีลิยัน เอ็มบัปเป้ หรือ วินิซิอุส จูเนียร์ จะยอมรับแนวทางของเขาได้มากน้อยแค่ไหน
บทสรุปคือ การแต่งตั้ง ชาบี อลอนโซ่ คือความพยายามของ เรอัล มาดริด ที่จะปรับตัวเข้าสู่ยุคฟุตบอลสมัยใหม่ที่ให้ความสำคัญกับแทคติคของโค้ชมากขึ้น แต่คำถามคือ ปรัชญาของเขาจะสามารถเอาชนะ “วัฒนธรรมแห่งซูเปอร์สตาร์” ที่หยั่งรากลึกในสโมสรแห่งนี้มานานเกือบศตวรรษได้หรือไม่… เวลาเท่านั้นที่จะให้คำตอบ