7msport

อาถรรพ์เวมบลีย์เล่นงาน? “ฮาแลนด์” ปฏิเสธยิงจุดโทษชี้ชะตา – กูรูรุมสับ, อนาคตซิตี้สั่นคลอน?

สนามเวมบลีย์ดูเหมือนจะกลายเป็นฝันร้ายของ เออร์ลิง ฮาแลนด์ ดาวยิงทีมชาตินอร์เวย์ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปเสียแล้ว เมื่อในเกมนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ เมื่อวันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา

ซึ่งทีม “เรือใบสีฟ้า” พ่ายแพ้ต่อ คริสตัล พาเลซ 0-1 เขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถทำลายอาถรรพ์การยิงประตูที่สนามแห่งนี้ได้ แต่ยังสร้างความประหลาดใจให้กับแฟนบอลทั่วโลก ด้วยการตัดสินใจ ไม่รับหน้าที่สังหารจุดโทษ ในช่วงเวลาสำคัญ ทั้งที่มีโอกาสตีเสมอให้กับทีม

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ลูกจุดโทษ ฮาแลนด์ ซึ่งเป็นผู้รับหน้าที่สังหารเบอร์หนึ่งของทีม กลับเดินเข้าไปจูบลูกฟุตบอลแล้วส่งต่อให้กับ โอมาร์ มาร์มูช เพื่อนร่วมทีมชาวอียิปต์เป็นผู้ยิงแทน ก่อนที่ มาร์มูช จะยิงไปติดเซฟของ ดีน เฮนเดอร์สัน ผู้รักษาประตูพาเลซ ทำให้ซิตี้พลาดโอกาสตีเสมออย่างน่าเสียดาย

“ผมคิดว่าเขาคงอยากจะยิงเอง แต่พวกเขาไม่ได้คุยกัน” เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กล่าวถึงจังหวะดังกล่าว “ช่วงเวลานั้นสำหรับการยิงจุดโทษ มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกของพวกเขา พวกเขาตัดสินใจว่าโอมาร์พร้อมที่จะรับหน้าที่ โอมาร์ใช้เวลานานมากตอนที่บอลหยุดนิ่ง มันยิ่งเพิ่มความกดดันให้เขา และเฮนเดอร์สันก็เซฟได้อย่างยอดเยี่ยม”

การตัดสินใจของ ฮาแลนด์ ครั้งนี้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากบรรดากูรูลูกหนัง เวย์น รูนี่ย์ อดีตกัปตันทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชี้ว่าความกดดันของเกมใหญ่ที่เวมบลีย์อาจมีผลต่อการตัดสินใจของดาวยิงนอร์เวย์ “เออร์ลิง ฮาแลนด์ คือกองหน้าระดับโลก แต่เมื่อเราพูดถึง ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไม่มีทางที่พวกเขาจะส่งบอลให้คนอื่นยิง นั่นคือสิ่งที่แยกผู้เล่นสองคนนั้นออกจาก เออร์ลิง ฮาแลนด์ หรือ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ และผู้เล่นเหล่านี้ พวกเขามีความเห็นแก่ตัวและต้องการยิงประตูทุกเกม เมื่อเขาพลาดโอกาส ผมคิดว่าคุณจะเห็นได้ว่ามันส่งผลกระทบต่อเขา บางทีความคิดที่จะต้องยิงจุดโทษที่เวมบลีย์อาจจะหนักหนาเกินไปสำหรับเขา คุณไม่มีทางรู้ เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง”

ขณะที่ อลัน เชียเรอร์ อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษ ก็แสดงความไม่เชื่อเช่นกัน “ไม่มีทางที่ใครจะมาบอกผมว่า ‘วันนี้คุณไม่ต้องยิงจุดโทษนะถ้าเราได้จุดโทษ’ ไม่ว่าเขาจะพลาดมาสามครั้งในฤดูกาล หรือเพิ่งหายเจ็บกลับมา ถ้าคุณฟิตและอยู่ในสนาม คุณก็ควรจะพร้อมสำหรับการยิงจุดโทษ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาหันไปบอกคนอื่นว่า ‘นายยิงเถอะ เพราะฉันไม่ค่อยมั่นใจ'”

ไมกาห์ ริชาร์ดส์ อดีตกองหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เสริมว่า “ผมรู้ว่าสถิติของ เออร์ลิง ฮาแลนด์ ที่เวมบลีย์ไม่ดีเอาเสียเลย แต่การที่เขาไม่ยิงจุดโทษ… ปกติเขาจะมั่นใจและหยิ่งผยองมาก”

ด้าน ดีน เฮนเดอร์สัน ผู้รักษาประตูฮีโร่ของพาเลซ เผยว่า “ฮาแลนด์อาจจะก้าวเข้ามายิงก็ได้ ผมไม่แน่ใจว่าจะพุ่งไปทางไหน แต่เขาส่งบอลให้มาร์มูช และผมรู้ว่าเขาจะยิงไปทางไหน ผมรู้ว่าผมจะเซฟได้”

ความพ่ายแพ้ในนัดชิง เอฟเอ คัพ ครั้งนี้ ตอกย้ำฤดูกาลที่น่าผิดหวังของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และตัว ฮาแลนด์ เอง แม้จะยิงได้ถึง 30 ประตูในฤดูกาลนี้แม้จะมีช่วงที่บาดเจ็บไป แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำประตูในเกมนัดชิงชนะเลิศกับซิตี้ได้เลยเป็นนัดที่ 8 ติดต่อกัน และเป็นการยืดสถิติเท้าบอดที่เวมบลีย์ออกไปเป็น 6 นัด การพลาดจุดโทษ 3 จาก 7 ครั้งหลังสุด อาจเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของเขา

ซิตี้ต้องการการ “ยกเครื่องใหม่”?

แม้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะครองเกมได้ในช่วงต้น และ ฮาแลนด์ มีโอกาสยิงแต่ก็ถูก เฮนเดอร์สัน ป้องกันไว้ได้ แต่กลับเป็น คริสตัล พาเลซ ที่ฉวยโอกาสจากเกมโต้กลับ และเป็น เอเบเรชี่ เอเซ่ ที่ยิงประตูชัยในนาทีที่ 16 พาทีมคว้าแชมป์เมเจอร์แรกในประวัติศาสตร์สโมสร

ภาพของ ฮาแลนด์ ที่ยืนคอตกในสนามพร้อมเหรียญรองแชมป์คล้องคอ สะท้อนความผิดหวังของฤดูกาลนี้ได้อย่างชัดเจน ขณะที่เพื่อนร่วมชาติชาวนอร์เวย์ของเขากำลังเฉลิมฉลองวันชาติ แต่ตัวเขาเองกลับไม่มีอะไรให้ยินดี

นอกจากนี้ นัดชิงครั้งนี้ยังเป็นการส่งท้ายที่ไม่สวยงามนักสำหรับ เควิน เดอ บรอยน์ ที่กำลังจะอำลาสโมสร ขณะที่ดาวรุ่งชาวอาร์เจนตินาวัย 19 ปี อย่าง เคลาดิโอ เอเชเวร์รี่ ก็ได้รับโอกาสประเดิมสนามในครึ่งหลัง

“ฤดูกาลนี้เป็นความผิดหวังครั้งใหญ่สำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ไมกาห์ ริชาร์ดส์ กล่าว “เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พูดถึงเรื่องนี้มาตลอดฤดูกาล ผู้เล่นทำได้ไม่ถึงมาตรฐานที่พวกเขาเคยทำไว้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สำหรับซิตี้ เรากำลังมองไปที่การยกเครื่องใหม่ มันชัดเจนสำหรับทุกคนที่เห็น แม้ว่าบางช่วงในวันนี้พวกเขาจะทำได้ดีก็ตาม”

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กล่าวหลังเกมว่า “เรายิงประตูไม่ได้ ก็ขอแสดงความยินดีกับ คริสตัล พาเลซ สำหรับชัยชนะ เราทำทุกอย่างแล้ว วันนี้เราเล่นได้ดุดันมากขึ้น ถ้าคุณยิงประตูไม่ได้ คุณก็จะไม่ชนะ”

ขณะที่เสียงเพลง ‘Stayin’ Alive’ ของ Bee Gees ดังกระหึ่มในสนามท่ามกลางสายรุ้งกระดาษ ฮาแลนด์ และเพื่อนร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จำเป็นต้อง “อยู่รอด” ให้ได้ในอีกสองเกมพรีเมียร์ลีกที่เหลือ หากต้องการจบฤดูกาลในอันดับท็อปไฟว์ ในสิ่งที่กำลังจะกลายเป็นฤดูกาลที่น่าลืมเลือนสำหรับพวกเขา