สโมสรเรอัล มาดริด เตรียมดำเนินการเรียกร้อง “ค่าเสียหายจำนวนมาก” จาก สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) หลังจากศาลในประเทศสเปนมีคำตัดสินเข้าข้างพวกเขาในคดีโครงการ ยูโรเปียนซูเปอร์ลีก ที่ล้มเหลวไปก่อนหน้านี้
คำพิพากษาจาก ศาลจังหวัดมาดริด ระบุว่า ได้ปฏิเสธคำอุทธรณ์จากทั้ง ยูฟ่า, สมาคมฟุตบอลสเปน (อาร์เอฟอีเอฟ) และ ลา ลีกา พร้อมยืนยันว่า ยูฟ่าได้ “ละเมิดกฎการแข่งขันเสรีของสหภาพยุโรปอย่างร้ายแรง” โดยใช้ตำแหน่งทางอำนาจเหนือกว่าของตน ซึ่งสอดคล้องกับคำตัดสินจาก ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป (CJEU)
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนเมษายน ปี 2021 เรอัล มาดริด เป็นหนึ่งใน 12 สโมสรที่ประกาศตนเป็นผู้ก่อตั้ง ยูโรเปียนซูเปอร์ลีก โดยมี ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสร เป็นผู้ผลักดันแนวคิดนี้อย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวถูกต่อต้านอย่างหนักจาก ยูฟ่า และ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) จนสุดท้ายต้องพังครืนลงภายในเวลาเพียง 72 ชั่วโมง หลังจากแฟนบอลของ “บิ๊กซิกซ์” สโมสรจากอังกฤษออกมาประท้วงอย่างรุนแรง ซึ่ง ยูฟ่า เองก็เคยเตรียมมาตรการลงโทษสโมสรที่เข้าร่วมด้วย
ในเดือนธันวาคม ปี 2023 ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป (CJEU) ตัดสินว่ากฎที่ ยูฟ่า ใช้ในการขัดขวางการจัดตั้งซูเปอร์ลีกเมื่อปี 2021 นั้นขัดต่อกฎหมายของสหภาพยุโรป ต่อมาในปี 2022 ยูฟ่า ได้ปรับปรุงระเบียบอนุญาตการแข่งขันใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักกฎหมายดังกล่าว
คดีนี้มีต้นตอมาจากการที่ศาลพาณิชย์ใน กรุงมาดริด เป็นผู้ส่งเรื่องต่อให้ศาลยุโรปพิจารณา
แม้จะมีคำพิพากษาออกมา แต่ ยูฟ่า ยืนยันว่า “คำตัดสินดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าซูเปอร์ลีกที่ถูกยกเลิกนั้นได้รับการรับรอง” และยังคงย้ำว่ากฎใหม่ขององค์กรที่ปรับปรุงในปี 2022 ยังคงมีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์
ภายหลังจากนั้น โครงการ ยูโรเปียนซูเปอร์ลีก ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ยูนิไฟ ลีก (Unify League)” ในปี 2024 โดยเหลือเพียงสองสโมสรที่ยังอยู่ในแผนอย่างเป็นทางการ คือ บาร์เซโลนา และ เรอัล มาดริด แต่สื่อในสเปนรายงานว่า บาร์เซโลนา ก็กำลังพิจารณาถอนตัวออกเช่นกัน
วิเคราะห์: นี่คือชัยชนะของ เรอัล มาดริด จริงหรือไม่?
เรอัล มาดริด มองว่าตนได้รับชัยชนะทางกฎหมายในศึกยืดเยื้อกับ ยูฟ่า, สมาคมฟุตบอลสเปน และ ลา ลีกา
อย่างไรก็ตาม ฝั่ง ยูฟ่า กลับไม่แสดงความกังวลมากนัก เพราะคำตัดสินนี้เป็นเพียงการเปิดทางให้ เรอัล มาดริด สามารถยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายในอนาคต ซึ่งยังไม่มีการยืนยันว่าพวกเขาจะชนะคดีดังกล่าวได้จริง
แม้จะเป็นเพียงขั้นตอนทางกฎหมาย แต่เหตุการณ์นี้ยังคงสร้างแรงกดดันระหว่างองค์กรลูกหนังยุโรปกับสโมสรที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลยุโรป
หลังจากเหตุการณ์ซูเปอร์ลีกล่มในปี 2021 ยูฟ่า ได้แก้ไขกฎในปี 2022 เพื่อป้องกันการก่อตั้งลีกข้ามชาติรูปแบบใหม่
นอกจากนี้ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา รัฐสภายุโรป ยังได้ผ่านมติแสดงจุดยืนคัดค้าน “การแข่งขันที่แยกตัวออกจากระบบหลัก” โดยให้เหตุผลว่าการกระทำเช่นนั้น “อาจทำลายสมดุลของวงการกีฬาในภาพรวม”
แถลงการณ์จาก เรอัล มาดริด
เรอัล มาดริด ซีเอฟ ออกแถลงการณ์เมื่อวันพุธว่า
“สโมสรมีความยินดีที่ศาลจังหวัดมาดริดได้ปฏิเสธคำอุทธรณ์จาก ยูฟ่า, อาร์เอฟอีเอฟ และ ลา ลีกา พร้อมยืนยันว่า ยูฟ่าได้ละเมิดกฎการแข่งขันเสรีของสหภาพยุโรปอย่างร้ายแรงในคดีซูเปอร์ลีก ซึ่งสอดคล้องกับคำตัดสินของ CJEU ที่ระบุว่ายูฟ่าใช้อำนาจในทางที่ผิด”
“คำตัดสินนี้เปิดทางให้สโมสรสามารถเรียกร้องค่าเสียหายจำนวนมากที่เกิดขึ้นในอดีตได้”
“นอกจากนี้ ตลอดปี 2025 สโมสรได้พูดคุยกับ ยูฟ่า หลายครั้งเพื่อหาทางออกร่วมกัน แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในเรื่องความโปร่งใสในการบริหาร การเงินที่ยั่งยืน การปกป้องสุขภาพนักเตะ และการพัฒนาประสบการณ์ของแฟนบอล เช่น การถ่ายทอดสดฟรีทั่วโลกเหมือนในรายการ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ”
“ดังนั้น สโมสรจะยังคงเดินหน้าทำงานเพื่อผลประโยชน์ของฟุตบอลโลกและแฟนบอล พร้อมกับดำเนินการเรียกร้องค่าเสียหายจาก ยูฟ่า ต่อไป”
แถลงการณ์จาก ยูฟ่า
ยูฟ่า ออกแถลงการณ์ของตนในเวลาไม่นานหลังจากนั้น โดยระบุว่า
“ยูฟ่าได้รับทราบคำตัดสินจากศาลอุทธรณ์มาดริดเกี่ยวกับโครงการที่เรียกว่า ‘ซูเปอร์ลีก’ แล้ว”
“คำตัดสินนี้ไม่ได้เป็นการรับรองโครงการซูเปอร์ลีกที่ถูกยกเลิกในปี 2021 และไม่ได้กระทบต่อกฎอนุญาตการแข่งขันของยูฟ่าที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2022 และปรับปรุงเพิ่มเติมในปี 2024 ซึ่งยังมีผลทางกฎหมายเต็มรูปแบบ”
“กฎเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อให้การแข่งขันข้ามประเทศถูกประเมินอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และอยู่บนพื้นฐานที่ไม่เลือกปฏิบัติ”
“ขณะเดียวกัน รัฐสภายุโรป เพิ่งมีมติสำคัญย้ำชัดถึงการคัดค้านการแข่งขันที่แยกตัวออกจากระบบหลัก เพราะเป็นภัยต่อโครงสร้างของวงการกีฬาโดยรวม”
“ยูฟ่าจะพิจารณาคำพิพากษาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจดำเนินการต่อ และในระหว่างนี้จะไม่ให้ความเห็นเพิ่มเติมใด ๆ”
“ยูฟ่ายังคงยึดมั่นในรูปแบบฟุตบอลยุโรปที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสามารถในสนาม การเข้าถึงอย่างเปิดกว้าง ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และการคุ้มครองระบบฟุตบอลในทุกระดับ รวมถึงจะทำงานร่วมกับสมาคม ลีก สโมสร นักเตะ แฟนบอล และหน่วยงานภาครัฐต่อไป เพื่อรักษาความเป็นเอกภาพของฟุตบอลยุโรป”
 
				