ค่ำคืนแห่งประวัติศาสตร์ที่มิวนิค! ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ภายใต้การคุมทัพของ หลุยส์ เอ็นริเก้ สร้างผลงานสุดยอดระดับมาสเตอร์พีซ ไล่ถล่ม อินเตอร์ มิลาน ยับเยิน 5-0 ในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 2025 คว้า “ถ้วยหูใหญ่” มาครองเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรอย่างยิ่งใหญ่ และเป็นการประกาศศักดาว่าฟุตบอลยุคใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
แม้ว่าทุกปีจะมีทีมที่คว้าแชมป์แชมเปียนส์ลีก แต่มีเพียงไม่กี่ทีมที่จะสามารถพิชิตยุโรปได้อย่างที่ เปแอสเช แสดงให้เห็นในค่ำคืนนี้ ฟุตบอลที่เล่นด้วยความเร็วและความเข้มข้นระดับใหม่ที่แม้แต่ อินเตอร์ มิลาน ซึ่งฝ่าฟันมาถึงรอบชิงได้อย่างเหลือเชื่อ ก็ไม่อาจต้านทานได้ เกมรุกอันร้อนแรงนำโดยสามประสานดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง เดซิเร่ ดูเอ้ (ผู้ทำสองประตู), อุสมาน เดมเบเล่ และ ควิชา ควารัตสเคเลีย ปั่นป่วนแนวรับ “งูใหญ่” ตลอดทั้งเกม และเมื่อ เซนนี่ มายู ดาวรุ่งอีกรายลงมายิงประตูปิดท้ายเป็น 5-0 เปแอสเชก็ทำลายสถิติชนะขาดลอยที่สุดในนัดชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยน คัพ หรือ แชมเปียนส์ ลีก เป็นรองเพียง เรอัล มาดริด ที่เคยถล่ม ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต 7-3 ในปี 1960 เท่านั้น
หลุยส์ เอ็นริเก้ ได้หล่อหลอมโครงการของกลุ่มทุนกาตาร์ที่เปแอสเชให้กลายเป็นสิ่งที่น่าทึ่ง – มันคือแม่แบบของบาร์เซโลน่าในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาที่ถูกนำมาปรับปรุงใหม่ให้เร็วยิ่งขึ้นและยากต่อการรับมือยิ่งกว่าเดิม สิ้นสุดยุค “กาลาคติกอส” และ “บลิง-บลิง” ที่เน้นซูเปอร์สตาร์ เปแอสเชชุดนี้คือทีมที่เปี่ยมไปด้วยพลังหนุ่มและความกระหาย โดยมี วิตินญ่า คอยบัญชาเกมในแดนกลางอย่างเหนือชั้น
ชัยชนะครั้งนี้หมายความว่า กาตาร์ และกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่เป็นเจ้าของเปแอสเช ได้ทลายกำแพงสุดท้ายสู่การเป็นทีมชั้นนำของวงการฟุตบอลได้สำเร็จหลังรอคอยมา 14 ปี แม้หลายคนอาจจะยังคงมีคำถามเกี่ยวกับเม็ดเงินของกาตาร์ แต่ในขณะเดียวกัน ผู้คนก็รักที่จะชมทีมฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม – และนี่คือทีมฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม มันถูกสร้างขึ้นจากเถ้าถ่านของความผิดพลาดในอดีตกับเหล่าซูเปอร์สตาร์ที่ถูกตามใจ จนกลายร่างมาเป็นทีมที่ดีที่สุดในยุโรปในรอบหลายปี และอาจจะเป็นแม่แบบของฟุตบอลในทศวรรษหน้าก็เป็นได้
เปแอสเชถาโถมเข้าใส่อินเตอร์อย่างหนักในครึ่งหลัง แม้ อุสมาน เดมเบเล่ จะไม่มีชื่อเป็นผู้ทำประตู แต่ผู้เล่นคนอื่นๆ ก็ดาหน้ากันสร้างผลงาน เริ่มจาก อัชราฟ ฮาคิมี่ ที่ยิงประตูเบิกร่องตั้งแต่นาทีที่ 12 และก่อนหน้านั้น อินเตอร์ก็เริ่มสัมผัสได้ถึงปัญหาใหญ่ พวกเขาสามารถประคองตัวจบครึ่งแรกโดยยังอยู่ในเกม แต่ทันทีที่พวกเขาต้องเสี่ยงมากขึ้น ช่องว่างก็เปิดออก แต่เปแอสเชก็ไม่เคยผ่อนเกม พวกเขาไล่บี้ทุกจังหวะจนกระทั่งสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย การแข่งขันจบลงอย่างรวดเร็วเมื่อ อิสต์วาน โควัชส์ ผู้ตัดสินชาวโรมาเนีย เป่านกหวีดหมดเวลาโดยไม่มีการทดเวลาบาดเจ็บแม้แต่นาทีเดียว เป็นเหมือนการปรานีต่อทีมจากอิตาลี
ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ของ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ไม่เพียงแต่จะเป็นการจารึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับสโมสร แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าพวกเขาพร้อมแล้วที่จะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจลูกหนังของยุโรปอย่างแท้จริง