7msport

เปิดสมุดโน้ตแมวมองในตำนาน: ผู้ค้นพบ “เบนเซม่า-โรดรี้” และบทเรียนที่ “Data” ให้ไม่ได้

ในยุคที่วงการฟุตบอลขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data) และการวิเคราะห์เชิงสถิติ, เรื่องราวของ เดฟ เวิร์ธธิงตัน แมวมองรุ่นเก๋าวัย 80 ปี และ “สมุดโน้ต” ที่บันทึกการเดินทางของเขาไว้มากมาย คือเครื่องย้ำเตือนถึงศิลปะแห่งการเฟ้นหานักเตะที่อาจกำลังจะเลือนหายไป และเป็นบทเรียนที่ข้อมูลดิบเพียงอย่างเดียวไม่สามารถมอบให้ได้

เวิร์ธธิงตัน ผู้เคยทำงานให้กับสโมสรชั้นนำในอังกฤษอย่าง เชลซี, เวสต์แฮม, เลสเตอร์ ซิตี้ และ เอฟเวอร์ตัน มีวิธีการทำงานที่พิถีพิถัน เขาจดบันทึกรายงานการแข่งขันทุกนัดลงบนสมุดโน้ต โดยแยกทีมเหย้า-เยือน พร้อมรายละเอียดนักเตะครบถ้วน และที่สำคัญคือ “ปากกาไฮไลท์” ที่เขาจะใช้ขีดทับชื่อนักเตะที่เขาพร้อมจะ “เอาชื่อตัวเองเป็นประกัน” ในการแนะนำให้สโมสรคว้าตัวมาร่วมทีม

“เพชรในตม” ที่ถูกค้นพบ: เบนเซม่า, โรดรี้ และอีกมากมาย

เมื่อพลิกดูสมุดโน้ตของเขา ก็เหมือนกับการย้อนรอยประวัติศาสตร์วงการฟุตบอล มีชื่อของซูเปอร์สตาร์มากมายที่เขาค้นพบตั้งแต่ยังเป็นดาวรุ่ง:

  • คาริม เบนเซม่า: เขาเห็นฟอร์มตั้งแต่อายุ 16 ปีกับลียง และเคยแจ้งไปยัง โบลตัน ว่าสามารถคว้าตัวได้ในราคาเพียง 1 ล้านยูโร ก่อนจะบอกกับเชลซีในเวลาต่อมาว่า “ถ้าเราไม่รีบคว้าตัวเด็กคนนี้ เขาจะไปอยู่กับ เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า หรือ มิลาน แน่ๆ”
  • โรดรี้: คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ในสมุดโน้ตของเวิร์ธธิงตัน ชื่อของ โรดรี้ ถูก “ขีดไฮไลท์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า” รายงานฉบับหนึ่งในปี 2018 บรรยายถึง โรดรี้ ในวัย 21 ปีไว้ว่า “เล่นลูกกลางอากาศได้ง่าย, หาช่องตลอด, แย่งบอลเก่ง, อ่านเกมดี, แข็งแกร่ง, ไม่เสียบอลง่ายๆ, การเคลื่อนที่ยอดเยี่ยม” พร้อมกับตัวอักษร “AP” (A Player – นักเตะที่ต้องคว้า) กำกับไว้ เขาแนะนำให้ เอฟเวอร์ตัน คว้าตัวโรดรี้อย่างสุดตัว แต่สุดท้ายสโมสรกลับเลือกทุ่มเงิน 30 ล้านยูโรคว้าตัว เยอร์รี่ มิน่า ซึ่งเป็นนักเตะที่เขาเขียนรายงาน “ไม่แนะนำ” ให้เซ็นสัญญา

“แล้วตอนไม่มีบอล เขาทำอะไร?” – ปรัชญาของแมวมองตาเหยี่ยว

เวิร์ธธิงตันไม่ใช่พวกต่อต้านข้อมูล เขายอมรับว่า Data มีประโยชน์ แต่หัวใจสำคัญของปรัชญาการทำงานของเขาคือสิ่งที่ข้อมูลอาจมองไม่เห็น “ข้อมูลจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อมันถูกนำมาใช้ในบริบทที่ถูกต้อง ร่วมกับผู้สังเกตการณ์ที่มีความรู้”

“พรสวรรค์มักจะเห็นได้ง่าย” เขากล่าว “แต่ในโหมดของแมวมอง คุณต้องคิดว่า ‘เขามีพรสวรรค์ก็จริง แต่ตอนไม่มีบอลเขาทำอะไร?’ กล้องวิดีโอจับภาพแค่ตอนที่เขามีบอล แล้วตอนที่บอลอยู่อีกฟากของสนามล่ะ? เขาวิ่งกลับมาช่วยเกมรับไหม? ภาษากายของเขาเป็นอย่างไร? เขาเป็นเพื่อนร่วมทีมที่ดีหรือไม่? เขาทุ่มเทแค่ไหนตอนที่ทีมตามหลัง 2-0 ในเกมเยือน?”

นี่คือ “บริบท” และ “มิติความเป็นมนุษย์” ที่แมวมองยุคเก่ามองเห็น และเป็นสิ่งที่ข้อมูลเชิงสถิติเพียงอย่างเดียวอาจให้คำตอบไม่ได้ เรื่องราวของ เดฟ เวิร์ธธิงตัน จึงเป็นเครื่องเตือนใจว่า ในโลกของฟุตบอลที่ทันสมัยขึ้นทุกวัน บางที “สายตา” และ “สัญชาตญาณ” ของมนุษย์ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ล้ำค่าและไม่สามารถทดแทนได้