7msport

เทรนด์ใหม่ฟุตบอล? เจาะลึกแท็คติกทำไม “มิดฟิลด์ตัวรับ” ถึงยิงประตูเป็นกอบเป็นกำ

มิดฟิลด์ตัวรับ, โฮลดิ้งมิดฟิลด์, มิดฟิลด์ตัวคุมเกม, แองเคอร์แมน… ไม่ว่าจะเรียกด้วยชื่อไหน ภาพจำของผู้เล่นในตำแหน่งนี้คือคนที่มีหน้าที่หลักในการปักหลักอยู่หน้าแผงแนวรับ ปล่อยให้การสร้างสรรค์เกมรุกเป็นเรื่องของเพื่อนร่วมทีมที่เล่นสูงกว่า แต่ดูเหมือนว่าในยุคปัจจุบัน คำจำกัดความเหล่านั้นอาจใช้ไม่ได้อีกต่อไป

ตำแหน่งกองกลางตัวรับที่ลึกที่สุดในสนามได้ผ่านวิวัฒนาการมาหลายยุคหลายสมัยในศตวรรษที่ 21 หากย้อนไปเมื่อ 25 ปีก่อน ผู้เล่นอย่าง ปาทริค วิเอร่า หรือ รอย คีน แม้จะถูกมองว่าเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะเติมเกมบุกและวิ่งทำทางจากแดนหลังอยู่เสมอ

แต่เมื่อฟุตบอลเปลี่ยนจากระบบ 4-4-2 มาเป็น 4-3-3 ในช่วงกลางยุค 2000 บทบาทของมิดฟิลด์ตัวรับก็กลายเป็นเชิง “อนุรักษ์นิยม” มากขึ้น เราแทบไม่เคยเห็น โคล้ด มาเกเลเล่ (ผู้ที่กลายเป็นต้นแบบของตำแหน่งนี้) เติมเกมบุกแบบไม่ลืมหูลืมตา ต่อมาในยุคของ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ บทบาทนี้ถูกยกระดับด้านเทคนิค แต่การเคลื่อนที่ส่วนใหญ่มักเป็นการถอยต่ำลงไปช่วยเกมรับมากกว่าจะดันสูงขึ้นไป

จนกระทั่งปัจจุบัน เราได้เห็นมาตรฐานใหม่จากผู้เล่นอย่าง โรดรี้ เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 2024 แม้บางครั้งเขาจะถูกโยกไปเล่นเป็นเซ็นเตอร์แบ็ก แต่เมื่อได้เล่นในตำแหน่งถนัด โรดรี้ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสอดขึ้นไปสร้างความอันตรายบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ และทำประตูได้บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเมื่อเจอกับทีมที่ใช้กองหลัง 5 คนและมีพื้นที่ว่างในแดนกลาง

ดูเหมือนว่าในยุคนี้ มิดฟิลด์ตัวรับจะได้รับ “ใบอนุญาต” และ “ความรับผิดชอบ” ในเกมรุกมากกว่าช่วงเวลาใดๆ ในศตวรรษนี้

กรณีศึกษา: ประตูจากแดนลึก

สองประตูจากเกมพรีเมียร์ลีกเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาสะท้อนภาพนี้ได้อย่างชัดเจน ประตูแรกมาจาก ไรอัน กราเฟนแบร์ค ในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ลองจินตนาการดูว่า หากเป็นมิดฟิลด์ตัวรับเมื่อ 10 ปีก่อน คงเป็นเรื่องยากมากที่จะเห็นผู้เล่นที่ได้รับบอลในตำแหน่งที่กราเฟนแบร์คยืนอยู่ (วงกลมสีเหลือง) จะสามารถสอดเข้าไปทำประตูในอีก 10 วินาทีต่อมาได้

แต่ดาวเตะชาวดัตช์กลับจ่ายบอลออกข้างให้ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ แล้ววิ่งสอดทะลุช่องเข้าไปในเขตโทษทันที แม็ค อัลลิสเตอร์ ส่งต่อให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทางขวา แนวรับของเอฟเวอร์ตันดูสับสนอย่างเห็นได้ชัดกับการวิ่งทำทางของกราเฟนแบร์ค และสุดท้ายเป็นซาลาห์ที่ชิพบอลอย่างเหนือชั้นให้กราเฟนแบร์ควิ่งเข้ามายิงฮาล์ฟวอลเลย์เข้าไปอย่างสวยงาม

“ฤดูกาลนี้ผมต้องการประตูและแอสซิสต์มากขึ้น” กราเฟนแบร์คกล่าวหลังเกม “โค้ช (อาร์เน่ สล็อต) คือคนที่ให้ความมั่นใจกับผมในการเติมเกมสูงขึ้น ฤดูกาลที่แล้วผมเล่นแค่ตำแหน่งเบอร์ 6 ตัวต่ำ แต่ตอนนี้ผมสามารถดันไปข้างหน้าได้มากขึ้น ซึ่งจุดแข็งของผมก็อยู่ตรงนั้นด้วย”

เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ลาดิสลาฟ เครจ์ซี่ ของวูล์ฟแฮมป์ตัน ก็ทำประตูในลักษณะคล้ายกัน แม้เขาจะไม่ได้สัมผัสบอลในจังหวะแรก แต่ธีมของมันเหมือนกันเป๊ะ คือการวิ่งทำทางจากตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับที่ลึกที่สุด (จุดสีเหลือง) ทะลุช่องว่างระหว่างเซ็นเตอร์แบ็กของคู่แข่งเข้าไปรับบอลและจบสกอร์

เหตุผลเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลง

ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากหลายปัจจัยประกอบกัน:

  1. การเพรสซิ่งที่ดุดัน: ในยุคที่ฟุตบอลเน้นการไล่บีบพื้นที่สูง มิดฟิลด์ตัวรับไม่ได้แค่ยืนคุมโซนในแดนตัวเองอีกต่อไป พวกเขาต้องดันสูงขึ้นไปช่วยเพื่อนไล่บอล ซึ่งทำให้พวกเขาไปอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้ประตูคู่แข่งมากขึ้นโดยธรรมชาติ
  2. อาวุธลับในการเจาะเกมรับ: การวิ่งสอดจากแถวสองของผู้เล่นที่คู่แข่งไม่คาดคิดว่าจะเติมขึ้นมา เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการทำลายเกมรับที่ตั้งโซนกันอย่างแน่นหนา
  3. ภูมิหลังของผู้เล่น: ผู้เล่นหลายคนในตำแหน่งนี้ (เช่น กราเฟนแบร์ค) ถูกปรับเปลี่ยนมาจากตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกหรือเบอร์ 8 มาก่อน พวกเขามีทักษะในเกมรุกติดตัวมาอยู่แล้วและไม่กลัวที่จะแสดงมันออกมา
  4. ความยืดหยุ่นของแท็คติก: ทีมอย่างนิวคาสเซิลของ เอ็ดดี้ ฮาว มีการสลับตำแหน่งของผู้เล่นในแดนกลางตลอดเวลา ทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “ตัวรับ” กับ “ตัวรุก” เลือนลางลงไป

สถิติในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ชี้ชัดว่า กราเฟนแบร์ค, มอยเซส ไคเซโด้ และ มาร์ติน ซูบิเมนดี้ ต่างทำไปแล้วคนละ 2 ประตู ขณะที่ เจา ปาลินญ่า, คาเซมิโร่ และ อิดริสซา เกย์ ก็มีชื่อบนสกอร์บอร์ดแล้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับยุคของ มาเกเลเล่ ที่ยิงได้เพียง 5 ประตูตลอด 11 ฤดูกาล หรือ บุสเก็ตส์ ที่ยิง 11 ประตูจากการลงเล่นเกือบ 500 นัดในลีก

ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว มิดฟิลด์ตัวรับในปัจจุบันมีอิสระในการโลดแล่นมากขึ้น และพวกเขากำลังเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากอิสระนั้นอย่างเต็มที่