7msport

เซอร์อเล็กซ์ ขอโทษ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ หลังตัดชื่อจากนัดชิงยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2011

สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในปี 2011 โดยมี ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ เป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีม แต่ในเกมชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ที่สนาม เวมบลีย์ สเตเดียม กับ สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา กลับไม่มีชื่อของเขาแม้แต่บนม้านั่งสำรอง เพราะ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตัดสินใจไม่ใส่ชื่อเขาไว้ในทีมชุด 18 คน

เบอร์บาตอฟ เปิดเผยภายหลังว่า เขารู้สึกเหมือนถูกดูหมิ่นและแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อ เฟอร์กูสัน แจ้งด้วยตัวเองว่าเขาจะไม่ได้ลงสนามในเกมนัดสำคัญที่สุดของฤดูกาลนั้น

ดาวยิงชาวบัลแกเรียเล่าว่า ตอนนั้นเขานิ่งไปเลย ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ เหมือนร่างกายหยุดนิ่งทันที เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดเกินทน

“มันคือความทรมานครับ ตอนนั้นผมเกือบจะเดินออกจากสนามไปเลย ต้องมีคนมาห้ามไว้ เพราะผมรู้สึกอับอายสุด ๆ”

เขาเล่าต่อว่า

“ในหัวผมตอนนั้นคิดว่า มันไม่ถูกต้องเลย ผมคือดาวยิงสูงสุดของทีม ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และของทั้งลีก แล้วอยู่ดี ๆ กลับโดนตัดชื่อออกจากเกมแบบนี้ มันไม่มีเหตุผลที่จะอธิบายได้เลย โดยเฉพาะเมื่อคุณอยู่ในช่วงเวลานั้นจริง ๆ”

จากนั้น เฟอร์กูสัน ได้เข้ามาคุยกับเขาแบบตรงไปตรงมาว่า

“ลูกจะไม่ได้ลงเล่นนะ มันเป็นเรื่องยากสำหรับฉันที่จะพูดแบบนี้ ฉันเสียใจจริง ๆ แต่วันนี้ลูกจะไม่ได้ลงสนาม”

เบอร์บาตอฟ จึงถามต่ออย่างไม่แน่ใจว่า

“อย่างน้อยผมก็อยู่ในรายชื่อสำรองใช่ไหมครับ?”

แต่คำตอบที่ได้กลับทำให้เขาช็อกกว่าเดิม —

“ไม่เลย ลูกไม่ได้อยู่ในทีมวันนี้”

เขาอธิบายว่าในตอนนั้น แม้จะพยายามเข้มแข็งเพียงใด ก็รู้สึกเหมือนหมดแรง “ร่างกายไม่ขยับเลย ทั้งเสียใจ ทั้งตกใจ และพูดอะไรไม่ออก”

“ผมอยากพูด อยากเดินออกไป อยากแสดงอะไรสักอย่าง แต่พูดไม่ออก เพราะผมรู้ว่าทุกอย่างมันถูกตัดสินไปแล้ว เสื้อแข่งก็วางไว้ครบหมด ไม่มีอะไรเปลี่ยนได้อีก”

เฟอร์กูสัน พูดจบก็เดินจากไป ทิ้งให้เขานั่งอยู่กับความผิดหวังนั้น

“จากความเสียใจมันก็กลายเป็นความโกรธครับ เพราะผมคิดว่าผมไม่สมควรถูกปฏิบัติแบบนี้ ผมยิงประตูให้ทีมมากมาย เราได้แชมป์พรีเมียร์ลีก และผมก็อยู่ในฟอร์มที่ดีมาก”

เบอร์บาตอฟ ยอมรับว่า ในตอนนั้นเขาอยากทำอะไรบางอย่าง อยากพูด อยากระบาย แต่สุดท้ายเลือกที่จะไม่หนีออกจากทีม

“ตอนนั้นผมรู้สึกไร้ค่าเลยครับ สุดท้ายผมเปลี่ยนใจอยู่ต่อ และดูเกมนั้นจากห้องแต่งตัวของทีม มันเป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตนักฟุตบอลของผม”

หลังจากเวลาผ่านไป เฟอร์กูสัน ได้โทรมาขอโทษ และยอมรับว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด พร้อมยังเขียนคำกล่าวขอโทษลงในคำนำของหนังสืออัตชีวประวัติของ เบอร์บาตอฟ อีกด้วย

“เขาเขียนไว้ในหนังสือเลยครับว่า มันคือความผิดพลาดของเขา”