เสียงเฮลั่นกึกก้องทั่ว สแตมฟอร์ด บริดจ์ บ่งบอกถึงความโล่งใจอย่างชัดเจน หลังจากที่แฟนบอลของ เชลซี ต้องกลั้นหายใจลุ้นกับอนาคตในการลุยเวที แชมเปียนส์ลีก
และในจังหวะสำคัญนั้นเอง มาร์ค คูคูเรญ่า กลายเป็นฮีโร่ เมื่อเขาโหม่งทำประตูสำคัญที่สุดในฤดูกาลนี้ให้กับทีมแห่งย่านลอนดอนตะวันตก จนเกิดบรรยากาศแห่งความสะใจถึงขีดสุด บางคนถึงกับวิ่งลงไปในสนามก่อนเกมจะจบด้วยซ้ำ จะเรียกว่าอารมณ์ล้นหรือขาดสติก็คงไม่ผิด เพราะนี่คือค่ำคืนที่เต็มไปด้วยอารมณ์สุดขั้ว
ตลอด 71 นาทีแรก เชลซี พยายามหาทางเจาะแนวรับของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ผลงานย่ำแย่ไม่ชนะใครในลีกมา 8 นัดติด กระทั่งแสงแห่งความหวังก็ปรากฏขึ้นจากจังหวะหมุนตัวอันสวยงามของ รีซ เจมส์ ก่อนจะเปิดบอลอย่างเหนือชั้นไปยังเสาสอง และถูกปิดบัญชีด้วยลูกโหม่งสุดหนักแน่นจากแบ็กซ้ายชาวสเปนรายนี้ ใครจะคิดว่าฟูลแบ็กจะมีส่วนสำคัญขนาดนี้ในแนวรุก?
ตอนนี้ เชลซี เหลือเกมเดียวกับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ และพวกเขาก็การันตีว่าจะอยู่ในพื้นที่ แชมเปียนส์ลีก ก่อนถึงวันปิดฤดูกาล ซึ่งการแข่งขันเพื่อคว้าตั๋วใบนี้ยังต้องไปตัดสินกันถึงนัดสุดท้าย
เอ็นโซ่ มาเรสก้า กล่าวหลังจบเกมว่า
“ชัยชนะนัดนี้มีความหมายมาก เราเล่นกันลำบาก เพราะไม่คิดว่า ยูไนเต็ด จะบีบตัวต่อตัวหนักขนาดนี้ พวกเขาทำให้เราประหลาดใจ แต่เราก็มีโอกาสมากพอที่จะคว้าชัย และผมคิดว่าเราสมควรชนะจากรูปเกมทั้งครึ่งแรกและครึ่งหลัง”
จากชัยชนะนัดนี้ เชลซี ยังสามารถควบคุมชะตาของตัวเองในการจบในท็อปไฟว์ เช่นเดียวกับ แอสตัน วิลล่า ที่ชนะ สเปอร์ส แต่มีผลต่างประตูได้เสียน้อยกว่า
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลสำหรับเกมนัดสุดท้ายที่ ซิตี้ กราวด์ คือการที่แนวรุกของทีมดูไร้พิษสง
เมื่อไม่มี นิโกลัส แจ็คสัน ที่โดนแบน และกองหน้าตัวหลักรายอื่นก็ยังไม่ฟิตพอ มาเรสก้า จึงต้องส่ง ไทรีค จอร์จ ดาวรุ่งวัย 19 ปี ลงสนามเป็นตัวจริงในเกมพรีเมียร์ลีกนัดแรกของเขา โดยตลอดเกมเขาได้สัมผัสบอลเพียง 14 ครั้ง และแทบไม่ได้มีโอกาสลุ้นประตูเลย ถึงอย่างนั้นกุนซือของทีมยังคงแสดงความพอใจกับฟอร์มของเด็กหนุ่มรายนี้
จังหวะที่ใกล้เคียงที่สุดของ จอร์จ คือช่วงนาทีที่ 60 เมื่อเขาถูกปะทะจากการวิ่งเข้าหาบอลของ อ็องเดร โอนาน่า ผู้ตัดสิน คริส คาวานาห์ ชี้เป็นจุดโทษทันที ก่อนที่จะเปลี่ยนใจหลังไปดู VAR ซึ่งพบว่า โอนาน่า ปัดโดนบอลก่อนชัดเจน
แม้จะครองเกมได้เป็นส่วนใหญ่ แต่แนวรุกของเจ้าบ้านก็แทบไม่สร้างความลำบากใจให้กับนายทวารของ ยูไนเต็ด เลย แม้ โคล พาลเมอร์ กับ โนนี่ มาดูเอเก้ จะพยายามแล้วก็ตาม และจังหวะที่ มาดูเอเก้ หลุดเดี่ยวแต่ยิงหลุดกรอบในครึ่งหลัง ก็บ่งบอกถึงความไร้ความคมของแนวรุกอย่างเห็นได้ชัด
โชคดีที่ เชลซี ยังพึ่งพาฟูลแบ็กได้ รีซ เจมส์ เปิดบอลให้ประตูชัยโดยไม่ต้องมองเลยด้วยซ้ำ และ คูคูเรญ่า ก็โหม่งเข้าแบบไม่มีใครหยุดได้
จริง ๆ แล้ว เจมส์ เกือบจะยิงเองได้ในครึ่งแรกด้วยซ้ำ เมื่อเขาวอลเลย์ด้วยข้างเท้าด้านนอก บอลพุ่งชนเสาอย่างจัง
“แชมเปียนส์ลีก คือที่ที่สโมสรแห่งนี้ควรอยู่” เจมส์ กล่าว
“เราต้องแข่งขันในเวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หลายคนชอบดูถูกเราเพราะทีมยังอายุน้อย แต่เราสู้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เต็มไปด้วยผู้เล่นมากประสบการณ์ และเราทำได้ตามเป้า”
แล้วด้าน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ล่ะ? การพ่ายแพ้ในลีกนัดที่ 18 ของฤดูกาลนี้ ถือเป็นสถิติที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 1973-74 และพวกเขายิงเข้ากรอบได้แค่ครั้งเดียวตลอดเกม
แม้จะเคยส่งบอลเข้าตาข่ายในนาทีที่ 16 จากการโหม่งของ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ หลังได้รับลูกเปิดจาก บรูโน่ แฟร์นานเดส แต่ VAR จับได้ว่าไหล่ของเขาล้ำหน้าอยู่เล็กน้อย
ฤดูกาลที่แสนจะน่าผิดหวังของพวกเขาทำให้เกมนี้แทบไม่มีความหมาย ก่อนจะลงเล่นนัดชิง ยูโรป้าลีก กับ สเปอร์ส ในวันพุธ ต่างจาก อันเก้ ปอสเตโคกลู ที่พักผู้เล่นเกือบทั้งทีมในเกมแพ้ แอสตัน วิลล่า ขณะที่ รูเบน อาโมริม เลือกใช้ชุดใหญ่เต็มสูบ ซึ่งต่างจากนัดที่พ่าย เวสต์แฮม ครั้งก่อน
อาโมริม อธิบายว่า
“ถ้าผมพักนักเตะ พวกเขาจะไม่ได้เล่นถึง 10 วัน ซึ่งผมไม่ชอบแบบนั้น ผมคิดว่าการแข่งขันคือการเตรียมตัวที่ดีที่สุด และเมื่อคุณเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คุณต้องสู้ในทุกนัด”
แม้ฟอร์มจะยังไม่น่าประทับใจ แต่ที่สำคัญคือไม่มีนักเตะเจ็บเพิ่ม และนั่นคือสิ่งที่ ยูไนเต็ด ต้องการที่สุดในตอนนี้ เพราะทั้งหมดจะถูกตัดสินในค่ำคืนของวันพุธ