อเล็กซ์ เคเบิล นักเขียนด้านฟุตบอล วิเคราะห์ชัยชนะสำคัญของทั้ง เชลซี และ แอสตัน วิลล่า ที่ทำให้การแย่งชิงพื้นที่ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เดือดถึงนาทีสุดท้าย ขณะที่ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปลี่ยนโฟกัสไปที่รอบชิง ยูโรปาลีก กลางสัปดาห์นี้
การแข่งขันกำลังเข้าสู่ช่วงที่ตึงเครียดที่สุด
สิ่งที่ชัดเจนจากชัยชนะของทั้ง แอสตัน วิลล่า และ เชลซี เมื่อคืนวันศุกร์ ก็คือความกดดันที่เพิ่มขึ้นในศึกชิงพื้นที่ แชมเปียนส์ลีก
แม้ตอนนี้ เชลซี ยังถือความได้เปรียบไว้ในมือ แต่การเฉือนเอาชนะในเกมล่าสุดที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ต้องอาศัยความยอดเยี่ยมเฉพาะตัวจาก รีซ เจมส์ ที่หมุนบอลหนีตัวประกบก่อนเปิดให้ มาร์ก กูกูเรญ่า ทำประตู ส่งผลให้ทีมของ เอนโซ่ มาเรสก้า ยังคงชะตากรรมไว้กับตัวเอง
หากพวกเขาชนะในเกมเยือน น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ นัดสุดท้าย ก็จะคว้าตั๋ว แชมเปียนส์ลีก ไปได้ทันที แต่หากพลาดแม้แต่นิด วิลล่า ที่ตอนนี้ตามหลังเพียง 2 แต้ม ก็พร้อมเสียบขึ้นมาแทนทันที
ด้วยชัยชนะของทั้งสองทีมเมื่อวันศุกร์ ความกดดันได้ส่งตรงถึง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ อาร์เซน่อล ซึ่งต้องระวังความพลิกผันในโค้งสุดท้าย
ฟูลแบ็กยังคงเป็นทางรอดของ เชลซี แต่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีนักก่อนเยือน ฟอเรสต์
เกมนี้ไม่เคยเป็นงานง่ายอยู่แล้วสำหรับ เชลซี การตอบสนองอย่างเดือดดาลของ รูเบน อโมริม หลังความพ่ายแพ้ต่อ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เมื่อสัปดาห์ก่อน ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จัดชุดใหญ่เต็มสูบลงบู๊ และเล่นได้อย่างดุดันตลอดเกม
ช่วงครึ่งแรก ทีมเยือนได้ลุ้นหลายครั้ง โดยเฉพาะการที่ แพทริก ดอร์กู เจาะพื้นที่ฝั่งซ้ายหลังแนวรับที่ เปโดร เนโต้ คุมไว้หลวม ๆ ไฮไลต์อยู่ที่จังหวะเปิดบอลของ ดอร์กู ให้ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ยิงเข้าประตู ก่อนจะถูก VAR จับล้ำหน้าแบบเฉียดฉิวเพียงไม่กี่เซนติเมตร และเซนติเมตรเหล่านั้น อาจเป็นตัวชี้ชะตาระหว่างการไปเล่น แชมเปียนส์ลีก หรือ ยูโรปาลีก ในฤดูกาลหน้า เพราะดูแล้ว ฟอเรสต์ อาจสร้างเซอร์ไพรส์ในเกมสุดท้ายได้
ลูกยิงของ แม็กไกวร์ ถือเป็นจังหวะที่ดูเหมือนกองหน้ามืออาชีพมากที่สุดในเกมนี้
ไทริค จอร์จ ที่ได้รับโอกาสลงแทน นิโกลัส แจ็คสัน ที่ติดโทษแบน ยังดูขาดความเฉียบคมในเกมประเดิมพรีเมียร์ลีกเต็มตัว ขณะที่ ราสมุส ฮอยลุนด์ ของฝั่ง ยูไนเต็ด ก็ยังไม่สามารถคืนฟอร์มเก่งได้ในเกมเยือน ซิตี้ กราวด์ ซึ่ง ฟอเรสต์ เสียประตูในบ้านเพียง 15 ลูกเท่านั้น เทียบเท่าสถิติดีที่สุดร่วมกับ ลิเวอร์พูล ที่ แอนฟิลด์ นั้น เชลซี จำเป็นต้องมีศูนย์หน้าที่เด็ดขาดมากกว่านี้ ประตูชัยในเกมล่าสุดต้องอาศัยการประสานงานจากฟูลแบ็กทั้งสองฝั่ง ซึ่งยากจะเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อเจอกับเกมรับเหนียวแน่นของ ฟอเรสต์
แอสตัน วิลล่า แสดงความมั่นใจ พร้อมล่าตั๋วถ้วยใหญ่จนถึงวินาทีสุดท้าย
ภารกิจของ วิลล่า ง่ายกว่า เชลซี อย่างชัดเจน เมื่อพวกเขาต้องเจอกับทีม สเปอร์ส ที่โรเตชั่นผู้เล่นเกือบทั้งทีม เพื่อเก็บตัวสำหรับนัดชิง ยูโรปาลีก แม้จะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก แต่ที่น่าประหลาดใจกว่าคือการเล่นของ สเปอร์ส ที่ถอยมาตั้งรับในระบบ 4-4-2 แบบบล็อกต่ำ และเน้นโต้กลับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นภายใต้การคุมทีมของ อังเก้ ปอสเตโคกลู
แน่นอนว่ามีปัจจัยที่เข้าใจได้ โดยเฉพาะการขาดหายไปของ ยูริ ตีเลอม็องส์ ที่เป็นตัวทะลุเกมรุก แต่การเปลี่ยนแนวทางจากเกมบุกดุดันมาเป็นรับลึก ก็ถือเป็นการยอมถอยทางยุทธศาสตร์ สเปอร์ส มีเปอร์เซ็นต์ครองบอลเพียง 31% ซึ่งต่ำที่สุดในฤดูกาลนี้อย่างชัดเจน
วิลล่า ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเจาะแนวรับที่ตั้งมั่น และ อูไน เอเมรี่ ก็ปรับแผนได้ดี โดยขยับ แม็ตตี้ แคช มาเล่นเป็น 1 ใน 3 เซ็นเตอร์ เพื่อสกัดเกมสวนกลับของ ซน ฮึง-มิน และถ่าง มอร์แกน โรเจอร์ส ไปยืนกว้างขึ้น การเคลื่อนตัวของ โรเจอร์ส สร้างพื้นที่เกมรุกและมีส่วนทำให้ทีมเจาะแนวรับได้มากขึ้น
ฟอร์มมั่นใจ! วิลล่า พร้อมบุกคว้าชัยถึง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
ฟอร์มของ โอลีก วัตกินส์ และ มาร์โก อาเซนซิโอ โดดเด่นชัดเจนในเกมรุกที่ไหลลื่น ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่ เชลซี แสดงให้เห็น
ด้วยเหตุนี้ แฟนบอล วิลล่า จึงยังมีความหวังว่าทีมรักจะบุกไปคว้าชัยที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในวันอาทิตย์ และอาจคว้าโอกาสหากทีมอื่นพลาดท่า
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เองก็ยังไม่การันตี พวกเขาต้องไม่แพ้ เอเอฟซี บอร์นมัธ หลังเกม เอฟเอ คัพ หากอยากขยับกลับแซง วิลล่า
แม้แต่ อาร์เซน่อล ก็ยังไม่ปลอดภัย หาก ฟอเรสต์ บุกชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ได้ในวันอาทิตย์ ก็จะทำให้ช่องว่างระหว่างอันดับ 2 ถึง 7 เหลือเพียง 3 แต้มเท่านั้น
สำหรับแฟนบอลทั่วไป สัปดาห์สุดท้ายของฤดูกาลนี้น่าจะเร้าใจสุด ๆ แต่สำหรับทีมที่มีเดิมพันในมือ ความกดดันอาจหนักหนาสาหัสสุดจะรับไหว
แม้พ่ายแต่ แมนยู พร้อมสำหรับนัดชิง ยูโรปาลีก มากกว่า สเปอร์ส
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ชนะในพรีเมียร์ลีกมา 8 นัดติด เป็นสถิติแย่ที่สุดตั้งแต่ปี 1990 และการแพ้ 18 นัดในลีกฤดูกาลนี้ ก็เป็นตัวเลขสูงสุดตั้งแต่ฤดูกาล 1973/74
ตัวเลขเหล่านี้อาจดูเลวร้าย แต่ภายใต้การคุมทีมของ รูเบน อโมริม เจ้าตัวยังพอใจในแง่ของความพร้อมสำหรับนัดชิง ยูโรปาลีก ที่จะมาถึง
“มันคือสิ่งดี ๆ ที่เราคุยกันไว้ก่อนเกม” อโมริม ให้สัมภาษณ์กับ Sky Sports “เรามีบางจังหวะที่ดีขึ้น เราเพรสซิ่งได้ มีโอกาสหลายครั้ง”
“เราต่อบอลขึ้นมาถึงพื้นที่สุดท้ายได้ดี เพียงแต่ยังขาดความเฉียบคมในจังหวะสุดท้าย”
จังหวะการต่อบอลบางช่วง โดยเฉพาะจากแดนกลางที่มี กาเซมิโร่, บรูโน่ แฟร์นันด์ส และ เมสัน เมาท์ ทำให้เห็นศักยภาพว่า ยูไนเต็ด อาจเอาชนะมิดฟิลด์ของ สเปอร์ส ที่เจอปัญหาบาดเจ็บได้
แม้ ปอสเตโคกลู จะโรเตชั่นผู้เล่นหลายรายจนวัดอะไรไม่ได้มากนัก แต่เมื่อเปรียบเทียบผลงานในช่วงหลังแล้ว ยูไนเต็ด ดูมีพัฒนาการและความเข้าขาระหว่างผู้เล่นมากกว่า
อาหมัด ดิยัลโล่ ยังคงแสดงให้เห็นถึงความสำคัญกับแผนการของ อโมริม ส่วน แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ก็ยังเป็นผู้นำในแนวรับได้อย่างแข็งแกร่ง
แม้จะเป็นเพียงรายละเอียดเล็ก ๆ แต่สำหรับสองทีมที่อยู่ในโซนกลางตารางอย่างอันดับ 16 และ 17 การมองเห็นพัฒนาการเชิงบวกก็ถือว่าสำคัญไม่น้อย และเวลานี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดูมีความพร้อมกว่าคู่แข่งร่วมชิงแชมป์ยุโรปอย่าง สเปอร์ส