ในที่สุด เสียงเพลง “Hey Jude” บทเพลงอมตะของ The Beatles ที่แฟนบอล เรอัล มาดริด หยิบยืมมาเป็นเพลงเชียร์ประจำตัวของ จู๊ด เบลลิงแฮม ก็ได้กลับมากระหึ่มก้องสนาม ซานติอาโก เบร์นาเบว อย่างดังกระหึ่มอีกครั้ง หลังจากการรอคอยที่ยาวนานกว่า 6 เดือนเต็ม
เป็นเวลาถึง 204 วัน นับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน ที่เหล่า “มาดริดิสต้า” ไม่ได้เห็นซูเปอร์สตาร์ชาวอังกฤษผู้นี้ ทำประตูต่อหน้าแฟนบอลในบ้านของตัวเอง แต่ในที่สุด “คำสาป” นั้นก็ถูกปลดล็อก ในเกม ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เมื่อคืนที่ผ่านมา ที่ “ราชันชุดขาว” เปิดบ้านเฉือนชนะ “ม้าลาย” ยูเวนตุส ไปด้วยสกอร์ 1-0
ประตูเดียวของเกมนี้ เกิดขึ้นในนาทีที่ 58 เมื่อ วินิซิอุส จูเนียร์ ลากเลื้อยตัดเข้าในก่อนจะซัดด้วยขวา บอลพุ่งแรงไปชนเสาด้านซ้ายของ มิเคเล ดิ เกรโกริโอ ผู้รักษาประตูยูเวนตุส กระดอนออกมา และเป็น เบลลิงแฮม ที่แสดงให้เห็นถึงสัญชาตญาณดาวยิง ปรี่เข้าซ้ำอย่างเยือกเย็นไม่พลาด ส่งบอลตุงตาข่ายท่ามกลางเสียงเฮลั่นสนาม
ชาบี อลอนโซ่ เฮดโค้ชของ เรอัล มาดริด ซึ่งเพิ่งได้ เบลลิงแฮม กลับมาฟิตเต็มร้อยหลังการผ่าตัดหัวไหล่ กล่าวชื่นชมลูกทีมคนสำคัญว่าคือ “หนึ่งในผู้เล่นที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก”
“เขามีคุณภาพในการเริ่มสร้างเกม และยังมีแรงขับเคลื่อนที่จะสอดเข้าไปเป็นคนจบสกอร์” อลอนโซ่ กล่าว “ผมชอบเกมของจู๊ดในนัดนี้มาก เพราะมันเป็นงานยากในการเจอกับ ‘โลว์ บล็อก’ (เกมรับลึก) ของพวกเขาในครึ่งแรก”
แม้จะเป็นเกมใหญ่ระดับ “บิ๊กแบรนด์” ของยุโรป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกมนี้มีความสำคัญน้อยที่สุดในสัปดาห์นี้สำหรับ เรอัล มาดริด ที่การันตีการเข้ารอบใน แชมเปียนส์ลีก ไปแล้ว เห็นได้จากการที่ อลอนโซ่ เลือกพักผู้เล่นอย่าง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เพื่อเก็บความสดไว้สำหรับเกม ลา ลีกา ที่ต้องบุกไปเยือน บาร์เซโลน่า สุดสัปดาห์นี้
ในครึ่งแรก แม้ มาดริด จะครองเกมได้เหนือกว่า แต่ก็ยังขาดความเฉียบคมในการจบสกอร์ ทั้งโอกาสโหม่งของ โอเรเลียง ชูอาเมนี และการยิงข้ามคานของ เอแดร์ มิลิเตา ขณะที่ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ และ บราฮิม ดิอาซ ก็ยังไม่สามารถผ่านมือ ดิ เกรโกริโอ ได้
ด้าน ยูเวนตุส ซึ่งรั้งอันดับ 7 ใน กัลโช่ เซเรีย อา แทบไม่มีพิษสงอะไรมากนักในครึ่งแรก มีเพียงลูกยิงไกลจาก เวสตัน แม็คเคนนี และ เฟเดริโก กัตติ ที่ ติโบต์ กูร์ตัวส์ รับไว้ได้สบาย
ครึ่งหลัง ยูเวนตุส ดูมีความกระตือรือร้นมากขึ้น และเกือบได้ประตูขึ้นนำจากการโซโล่เดี่ยวเกือบครึ่งสนามของ ดูซาน วลาโฮวิช แต่ กูร์ตัวส์ ก็ยังป้องกันไว้ได้
จนกระทั่งการกลับมาของสัญชาตญาณที่เฉียบคมที่สุดของ เบลลิงแฮม ในนาทีที่ 58 ซึ่งกลายเป็นประตูชัย
ช่วงท้ายเกม ยูเวนตุส พยายามโหมบุกหนัก และเกือบตีเสมอได้จากตัวสำรอง โลอีส โอเพนด้า แต่ถูกบล็อกไว้ได้ทัน รวมถึงลูกยิงของ ฟิลิป คอสติช ที่ กูร์ตัวส์ ยังคงเหนียวแน่น ปิดฉากค่ำคืนนี้ให้เป็นของ จู๊ด เบลลิงแฮม อย่างแท้จริง