แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ประกาศผลประกอบการทางการเงินประจำปีล่าสุด สร้างสถิติใหม่ให้กับสโมสรด้วยรายรับรวมสูงถึง 666.5 ล้านปอนด์ แม้ว่าผลงานในสนามของทีมชุดใหญ่จะน่าผิดหวังอย่างยิ่ง โดยจบเพียงอันดับที่ 15 ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งเป็นอันดับที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 1973-74 ที่ทีมตกชั้น
ความสำเร็จทางการเงินอันน่าทึ่งนี้มีปัจจัยสำคัญมาจากการเริ่มต้นสัญญาสปอนเซอร์คาดหน้าอกรายใหม่กับ Snapdragon เป็นเวลา 5 ปี ซึ่งช่วยผลักดันให้รายได้เชิงพาณิชย์ของสโมสรพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 333.3 ล้านปอนด์ นอกจากนี้ รายได้ในวันแข่งขัน (Matchday) ก็ทุบสถิติใหม่เช่นกันที่ 160.3 ล้านปอนด์ ในปีงบประมาณที่สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2025
โอมาร์ เบร์ราด้า ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสโมสรกล่าวว่า “การสร้างรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงปีที่ท้าทายสำหรับสโมสรเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นซึ่งเป็นจุดเด่นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด”
แม้จะมีรายรับมหาศาล แต่สโมสรยังคงมีผลประกอบการขาดทุนโดยรวมอยู่ที่ 33 ล้านปอนด์ ซึ่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 70.8% จากปีก่อนหน้าที่ขาดทุนถึง 113.2 ล้านปอนด์ โดยสโมสรยืนยันว่ายังคงปฏิบัติตามกฎกำไรและความยั่งยืนของพรีเมียร์ลีก (PSR) และกฎไฟแนนเชียล แฟร์ เพลย์ของยูฟ่าอย่างเคร่งครัด
ตัวเลขที่น่าสนใจอื่นๆ รวมถึงการลดค่าใช้จ่ายด้านค่าเหนื่อยลง 51.5 ล้านปอนด์ เหลือ 313.2 ล้านปอนด์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการที่ทีมไม่สามารถคว้าโควต้าไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้ ทำให้ค่าเหนื่อยของนักเตะถูกตัดลง 25% ตามเงื่อนไขในสัญญา
อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องหนี้สินของสโมสรยังคงเป็นที่น่าจับตามอง โดยหนี้ระยะยาวซึ่งเป็นผลพวงมาจากการเทคโอเวอร์ของตระกูลเกลเซอร์ยังคงอยู่ที่ 650 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 471.9 ล้านปอนด์) นอกจากนี้ หนี้สินหมุนเวียนและภาระผูกพันในการจ่ายค่าตัวนักเตะที่ยังค้างชำระก็เพิ่มสูงขึ้นเป็น 564.6 ล้านปอนด์
ตัวเลขทางการเงินที่แข็งแกร่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงพลังของแบรนด์ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ที่ยังคงดึงดูดเม็ดเงินมหาศาลได้ทั่วโลก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการบ้านชิ้นใหญ่สำหรับทีมบริหารชุดใหม่ภายใต้การนำของ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ ที่จะต้องหาทางเปลี่ยนความสำเร็จนอกสนามให้กลายเป็นความสำเร็จในสนามให้จงได้