7msport

“ลิเวอร์พูล” ส่อแววเป๋! เจอทั้งปัญหาอาการบาดเจ็บ ฟอร์มตก และแรงกดดันไล่บี้จ่าฝูงจาก “อาร์เซน่อล”

ความหวังในการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ของ ลิเวอร์พูล เริ่มสั่นคลอน แม้จะยังอยู่ในเส้นทาง แต่แรงกดดันกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หนึ่งปีหลังจากที่ อาร์เน่ สลอต เข้ามาคุมทีมที่ แอนฟิลด์ เขากำลังเผชิญความท้าทายใหญ่ ทั้งปัญหานักเตะบาดเจ็บ ฟอร์มตก และความไม่มั่นใจในแท็กติกที่กำลังถูกตั้งคำถาม

สภาพทีมตอนนี้เปราะบาง และหาก อาร์เซน่อล เก็บสามแต้มได้ก่อนในสุดสัปดาห์ พวกเขาอาจหนีห่างถึง 4 คะแนนก่อนเกมแดงเดือดกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ขณะเดียวกัน ฝั่งทีมเยือนก็ไม่ได้อยู่ในช่วงมั่นคงนักเช่นกัน


อาโมริม ยังหาทิศทางที่ชัดเจนไม่เจอ

โครงการสร้างทีมของ รูเบน อโมริม ยังคงขึ้นลงอย่างหนัก ทีมของเขาแสดงให้เห็นทั้งช่วงเวลาที่เปล่งประกายและช่วงที่วุ่นวายไร้ระเบียบ

อย่างไรก็ตาม การบุกเยือน แอนฟิลด์ ครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นเกมที่ 100 ที่ทั้งสองทีมเจอกันในการแข่งขันอย่างเป็นทางการ ดูจะเป็นโอกาสอันดีสำหรับ “ปีศาจแดง” ที่จะฉวยความเปราะบางของเจ้าถิ่นให้เป็นประโยชน์


“หงส์แดง” แชมป์เก่ากำลังสะดุด

ลิเวอร์พูล เข้าสู่ช่วงพักเบรกทีมชาติเดือนตุลาคมด้วยความผิดหวังสุดขีด หลังแพ้ติดต่อกัน 3 นัดรวมทุกรายการเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ สลอต รับงานเมื่อซัมเมอร์ที่แล้ว

เกมรับที่เคยแข็งแกร่งกลายเป็นจุดอ่อน เมื่อเสียไปถึง 9 ประตูจาก 7 นัดในลีก เทียบกับเพียง 2 ประตูในช่วงเวลาเดียวกันของฤดูกาลก่อน และมีเพียง 2 นัดเท่านั้นที่เก็บคลีนชีตได้ (เกมกับ เบิร์นลีย์ และ อาร์เซน่อล)

รายชื่อนักเตะเจ็บก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้ง อลีสซง เบ็คเกอร์, อิบราฮิมา โกนาเต้ และ ไรอัน กราเวนเบิร์ช ที่ต่างมีปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ

โดยเฉพาะ กราเวนเบิร์ช ที่ฟอร์มตกลงหลังจากถูกคู่แข่งจับทางได้ง่ายขึ้น อย่างในเกมกับ เชลซี เขาถูก เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ และ มาโล กุสโต้ ปิดพื้นที่จนแทบไม่มีบทบาท


จุดอ่อนในแนวรุกเริ่มชัด

การเข้ามาของ ฟลอเรียน เวิร์ทซ์ ด้วยค่าตัวมหาศาลกว่า 116 ล้านปอนด์ ถูกคาดหวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ในแนวรุก แต่จนถึงตอนนี้ แข้งวัย 22 ปียังยิงหรือแอสซิสต์ไม่ได้เลยในลีก

อย่างไรก็ตาม ยูเลียน นาเกลส์มันน์ กุนซือทีมชาติเยอรมนี มองว่าเขาแค่ต้องใช้เวลาในการปรับตัว โดยสถิติชี้ว่าไม่มีนักเตะคนไหนสร้างโอกาสได้มากกว่าเขาในฤดูกาลนี้ถึง 21 ครั้ง

แม้แต่ เยอร์เกน คล็อปป์ ที่ติดตามอยู่ห่าง ๆ ยังกล่าวผ่านสถานี RTL ว่า “เขาคือพรสวรรค์ระดับศตวรรษ เพียงรอเวลาที่จะได้แสดงให้เห็นในทุกเกมอีกครั้ง เหมือนตอนอยู่กับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซิน

ด้าน อเล็กซิส แม็ก อัลลิสเตอร์ ก็ยังไม่สามารถลงเล่นเต็ม 90 นาทีได้เลยในซีซันนี้ เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อที่สะสมมาตั้งแต่ฤดูกาลก่อน ซึ่งคล้ายกับกรณีของ อเล็กซานเดอร์ อิซัค ที่ต้องเรียกความฟิตกลับมา


โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ฟอร์มตกและโดดเดี่ยว

แม้จะยังเป็นตัวอันตรายเสมอ โดยยิงใส่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปแล้ว 16 ประตูจาก 17 นัด แต่ปีนี้ ซาลาห์ เพิ่งยิงได้เพียง 2 ลูกในลีกเท่านั้น

การขาด เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทำให้จังหวะการประสานงานทางฝั่งขวาหายไป เยเรมี ฟริมปง และ คอเนอร์ แบรดลีย์ ยังไม่สามารถเติมเกมรุกได้อย่างมั่นใจเหมือนกัน ส่งผลให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ต้องโดดเดี่ยวและลดความอันตรายลง

ยิ่งไปกว่านั้น เกมรับฝั่งขวายังเปิดช่องให้คู่แข่งโจมตีได้บ่อยครั้ง


⚔️ “ปีศาจแดง” มีลุ้นบุกล้างอาถรรพ์ “แอนฟิลด์”

ฝั่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของ อาโมริม ยังมีปัญหาความแน่นอน แต่ก็เต็มไปด้วยศักยภาพในการสร้างโอกาส โดยพวกเขามีค่า “คาดการณ์ประตู” (xG) สูงสุดในลีกถึง 10.1 แต่ยังจบสกอร์ไม่คมพอ

นับตั้งแต่ชัยชนะที่ เวย์น รูนีย์ ยิงประตูชัยในปี 2016 พวกเขาก็ยังไม่เคยบุกชนะที่ แอนฟิลด์ ได้อีกเลย

อย่างไรก็ตาม เกมเสมอ 2-2 เมื่อฤดูกาลก่อนถือเป็นสัญญาณว่าทีมเริ่มพัฒนา

แม้สถิติของ อาโมริม จะยังไม่สวยหรู – ชนะเพียง 19 จาก 50 นัดตั้งแต่รับงานเมื่อพฤศจิกายนปีก่อน – แต่เขาเริ่มแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในแท็กติก โดยหันมาเน้นบอลยาวและเกมโต้กลับที่ใช้ความเร็วของ ไบรอัน เอ็มเบอโม และพลังของ เบนยามิน เชชโก้ เป็นอาวุธสำคัญ

แม้แนวรับจะมีปัญหา โดย ไอเดน เฮฟเวน เจ็บจากเกมทีมชาติ แต่บรรยากาศในทีมยังคงเชื่อมั่น


บทสรุป

แม้ แอนฟิลด์ จะเป็นสนามต้องห้ามสำหรับ “ปีศาจแดง” มานานหลายปี แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าโอกาสจะเปิดกว้างกว่าที่เคย

ลิเวอร์พูล กำลังเจอวิกฤติทั้งฟอร์มและความมั่นใจ ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เริ่มกลับมามีประกายความเชื่ออีกครั้ง หาก รูเบน อาโมริม ต้องการพิสูจน์ว่าเขาคือคนที่ใช่ การบุกโค่น “หงส์แดง” ครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเขียนบทใหม่ในประวัติศาสตร์สโมสร