7msport

ราฟินญ่า ต่อสัญญากับ บาร์เซโลน่า ถึงปี 2028 – เส้นทางพัฒนาในสามซีซั่นสู่จุดสูงสุด

Raphinha

หลังจากประกาศแต่งตั้ง ฮานซี่ ฟลิค อย่างเป็นทางการ บาร์เซโลน่า ก็ปล่อยข่าวสำคัญอีกระลอก เมื่อพวกเขาบรรลุข้อตกลงในการขยายสัญญากับ ราฟินญ่า ปีกชาวบราซิล ออกไปจนถึงปี 2028

ท่ามกลางกระแสข่าวลือเกี่ยวกับอนาคตของเขาในช่วงที่ผ่านมา การต่อสัญญาครั้งนี้ถือเป็นหลักฐานถึงความสำเร็จที่เจ้าตัวสร้างขึ้น หลังจากต้องฝ่าฟันช่วงเวลาที่ยากลำบากในถิ่น คัมป์ นู จนสามารถยกระดับฝีเท้าจนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในแนวรุกที่อันตรายที่สุดของโลก และเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะคว้ารางวัล บัลลงดอร์ ในปีนี้

เส้นทางฝันที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

เมื่อ ราฟินญ่า ย้ายมาจาก ลีดส์ ยูไนเต็ด เมื่อช่วงซัมเมอร์ปี 2022 แฟนบอล บาร์เซโลน่า หลายคนเชื่อว่าทีมได้เพชรเม็ดงามมาอยู่ในมือ ด้วยทักษะ เทคนิค และความดุดันของเขาในเวทีพรีเมียร์ลีก

แม้เจ้าตัวจะตื่นเต้นกับการได้สวมเสื้อทีมในฝัน แต่ไม่นานนัก แรงกดดันจากการเป็นนักเตะ บาร์ซ่า ก็เริ่มถาโถมเข้ามา โดยเฉพาะการที่ ชาบี เอร์นานเดซ มักโยกตำแหน่งการเล่นของเขาไปมา ทั้งฝั่งขวาและฝั่งซ้าย ส่งผลให้ฟอร์มของเขาไม่ต่อเนื่อง

ฤดูกาลแรกเขาทำไป 10 ประตู กับอีก 12 แอสซิสต์ในทุกรายการ ซึ่งถือว่าไม่เลว แต่ก็ยังไม่ถึงระดับที่แฟนบอลคาดหวัง

การต่อสู้ด้านจิตใจ

นอกจากปัญหาในสนามแล้ว ราฟินญ่า ยังเปิดเผยว่า เขาเริ่มเข้ารับการปรึกษาด้านจิตวิทยาเมื่อสามปีก่อน เพื่อทำความเข้าใจตัวเองและรับมือกับแรงกดดันในวงการฟุตบอลระดับสูง แม้จะไม่ได้เผชิญภาวะซึมเศร้าหรือปัญหารุนแรง แต่เขายอมรับว่า การได้คุยกับนักจิตวิทยาเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับนักฟุตบอลอาชีพ

“ก่อนหน้านี้ผมเคยมองว่าการไปหานักจิตวิทยาเป็นเรื่องของคนบ้า แต่เมื่อได้ลองเปิดใจ ผมพบว่ามันมีประโยชน์มาก” เขากล่าว

ซีซั่นที่สอง: ความคาดหวังที่มาพร้อมอุปสรรค

หลังจาก อุสมาน เดมเบเล่ ย้ายไป ปารีส แซงต์-แชร์กแมง หลายคนคาดว่า ราฟินญ่า จะได้เป็นตัวจริงฝั่งขวาอย่างถาวร แต่แทนที่จะได้ฉายแววเต็มที่ เขากลับเจออาการบาดเจ็บเล่นงานซ้ำ ๆ และยังต้องแบ่งพื้นที่ให้กับดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง ลามีน ยามาล

นอกจากนี้ ระบบของ ชาบี ยังบังคับให้ปีกต้องเล่นแคบหรือตำแหน่งลูกผสม ซึ่งไม่ใช่สไตล์ที่เหมาะกับเขานัก เขาถูกจับไปเล่นฝั่งซ้ายบ่อยครั้ง และตัดสินใจผิดพลาดในจังหวะสำคัญ

แม้ฤดูกาลนั้นเขาจะทำได้ 14 ประตูกับอีก 10 แอสซิสต์ แต่ก็ยังไม่ใช่ปีที่ดีที่สุดของเขา เสียงวิจารณ์ดังขึ้นเรื่อย ๆ และถึงขั้นมีข่าวว่าอาจถูกขายไป ซาอุดีอาระเบีย หรือกลับไป พรีเมียร์ลีก

อย่างไรก็ตาม ราฟินญ่า ยืนกรานว่าจะอยู่สู้ต่อในถิ่น คัมป์ นู

จุดเปลี่ยนจาก ฮานซี่ ฟลิค

การมาของ ฮานซี่ ฟลิค ในช่วงซัมเมอร์ปี 2024 เปลี่ยนชีวิตของ ราฟินญ่า ไปอย่างสิ้นเชิง

โค้ชชาวเยอรมันวางระบบเกมรุกที่เน้นความเร็ว การเล่นริมเส้น และการเคลื่อนไหวอันชาญฉลาด ซึ่งเข้ากับสไตล์ของ ราฟินญ่า ได้อย่างลงตัว เขาได้รับโอกาสลงสนามต่อเนื่องในตำแหน่งปีกขวา ได้รับอิสระในการสร้างสรรค์เกม และตอบแทนความไว้ใจด้วยฟอร์มที่ดีที่สุดในชีวิตค้าแข้ง

ลุ้นรางวัล บัลลงดอร์

ในฤดูกาล 2024/25 ราฟินญ่า ทำไปถึง 34 ประตูกับ 22 แอสซิสต์ จากการลงเล่นกว่า 50 นัด รวมมีส่วนร่วมถึง 56 ประตู มากที่สุดในบรรดานักเตะจาก 5 ลีกใหญ่ของยุโรป

นอกจากสถิติที่ยอดเยี่ยมแล้ว เขายังโชว์ฟอร์มโดดเด่นในเกมสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการยิงและแอสซิสต์ใน เอล กลาซิโก้ ทั้ง 4 นัด รวมถึงในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่พา บาร์เซโลน่า ทะลุถึงรอบรองชนะเลิศ

ความเข้าใจในเกมของเขากับ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ และ ลามีน ยามาล กลายเป็นอาวุธสำคัญของแนวรุก บาร์ซ่า ที่ทำให้ทุกทีมในยุโรปต้องหวั่นเกรง

แม้จะต้องแย่งรางวัล บัลลงดอร์ กับเพื่อนร่วมทีมอย่าง ยามาล แต่ชื่อของ ราฟินญ่า ก็ถูกพูดถึงในฐานะตัวเต็งอย่างไม่ต้องสงสัย

ผู้นำตัวจริง

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในฤดูกาลนี้ของ ราฟินญ่า ไม่ใช่แค่ผลงานในสนาม แต่คือบทบาทความเป็นผู้นำ เขามักให้คำแนะนำแก่ดาวรุ่งหลังเกม คอยกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมในการซ้อม และเป็นแบบอย่างในเรื่องความมุ่งมั่น

การต่อสัญญาครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่รางวัลสำหรับฟอร์มที่ยอดเยี่ยมในสนาม แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของสโมสรที่มีต่อเขาในฐานะแกนหลักของทีมในอนาคต

ราฟินญ่า ไม่เพียงกอบกู้ความฝันของตัวเองที่ คัมป์ นู แต่เขายังกลายเป็นหัวใจของ บาร์เซโลน่า คนใหม่ในยุคหลัง ชาบี อย่างแท้จริง.