แฮร์รี วิลสัน ยังคงรับบทเพชฌฆาตประจำศึกดาร์บี้แมตช์แห่งลอนดอนตะวันตก เมื่อเขากลับมาทำร้าย เบรนท์ฟอร์ด อีกครั้งด้วยลูกยิงสุดสวยในเกมที่ ฟูแล่ม บุกเฉือนคู่ปรับร่วมเมือง 3-2 ที่สนาม จีเทค คอมมูนิตี้ สเตเดียม
ก่อนหน้านี้ในเกมเลกแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน แข้งชาวเวลส์รายนี้ก็เคยยิงสองประตูในช่วงทดเวลาให้ ฟูแล่ม พลิกแซงคว้าชัยมาแล้ว และในเกมล่าสุดเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เมื่อซัดไกลในนาทีที่ 70 ช่วยให้ทีมคว้าสามแต้มสุดล้ำค่า เกมนี้เริ่มต้นด้วยประตูของ ราอูล ฮิเมเนซ ที่พาทีมเยือนออกนำ ก่อนที่ โยอาน วิสซา และ ไบรอัน เอ็มเบโม่ จะยิงคนละลูกให้เจ้าบ้านตีเสมอเป็น 2-2 โดยทั้งคู่ทำสถิติยิงไป 19 ประตูในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้
อย่างไรก็ตาม เอ็มเบโม่ มีโอกาสทำประตูที่ 20 จากจุดโทษในครึ่งแรก แต่ถูก แบร์นด์ เลโน่ เซฟไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ทอม แคร์นี่ย์ ถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรอง และโหม่งตีเสมอให้ทีมก่อนที่ วิลสัน จะมายิงประตูชัยให้กับ เจ้าสัวน้อย
มาร์โก ซิลวา กล่าวถึงฟอร์มของ วิลสัน ว่า
“เขาเป็นผู้เล่นที่สำคัญและมีคุณภาพมากสำหรับเรา แน่นอนว่าเขารู้สึกดีเวลาได้เล่นกับ เบรนท์ฟอร์ด และตอนนี้เขาคงคิดอยู่ในใจว่า ‘ทำไมถึงไม่ได้เจอ เบรนท์ฟอร์ด ทุกสัปดาห์นะ’”
“เรารู้ดีว่าดาร์บี้แมตช์แบบนี้มันพิเศษแค่ไหน คู่แข่งมีแนวรุกที่ดุดัน ยิงรวมกันเกือบ 50 ลูกในลีก เราจึงต้องตั้งรับอย่างมีวินัยและคุมเกมให้ได้”
ทั้งสองทีมมีเป้าหมายไปเล่นฟุตบอลยุโรป แต่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา คริสตัล พาเลซ เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึกเอฟเอ คัพ ทำให้ทีมอันดับ 8 หมดสิทธิ์ได้สิทธิ์ไปเล่นยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก โดยอัตโนมัติ
ชัยชนะของ ฟูแล่ม ในเกมนี้ทำให้พวกเขามี 54 แต้ม ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของสโมสรในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก
ซิลวา กล่าวเสริมว่า
“นี่คือสิ่งที่ทีมเราควรภูมิใจ เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของฤดูกาล เราเคยเกือบทำได้เมื่อสองปีก่อน แต่ฤดูกาลนี้เราพิสูจน์แล้วว่าเราสามารถทำลายสถิติเก่าและยกระดับตัวเองได้”
ด้าน เบรนท์ฟอร์ด ต้องหยุดสถิติชนะรวด 4 นัดติดต่อกันลง
เมื่อถูกถามว่าทีมของเขาสมควรได้มากกว่านี้หรือไม่ โธมัส แฟรงก์ ตอบว่า
“แน่นอน เราน่าจะได้มากกว่านี้ แต่นี่แหละฟุตบอล”
“ครึ่งแรกเราทำได้ดีมาก คุมเกมได้ มีจังหวะเข้าทำหลายครั้ง รวมถึงโอกาสครึ่ง ๆ กลาง ๆ จากการบีบพื้นที่สูงแล้วสวนกลับเร็ว”
“แต่ผมไม่คิดว่าครึ่งหลังเราควรโดนถึงสองลูก มันเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ สองประตูที่เราเสียก็มาจากลูกครอสแฉลบที่ไปตกใส่หัว ฮิเมเนซ กับ แคร์นี่ย์ พอดิบพอดี”