มาร์กินโญส กัปตันทีม ปารีส แซงต์-แชร์กแมง มั่นใจว่าทีมจากฝรั่งเศสจะรับมือกับความกดดันได้ดีในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก วันเสาร์นี้ ที่ต้องพบกับ อินเตอร์ มิลาน และจะสามารถลบฝันร้ายในอดีตด้วยการคว้าแชมป์รายการนี้มาครองได้ในที่สุด
“สโมสรได้เรียนรู้ตลอดเวลาที่ผ่านมาเกี่ยวกับวิธีการรับมือกับเกมใหญ่แบบนี้ และรู้ว่าต้องทำอะไร” กองหลังชาวบราซิลกล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ มิวนิค ในวันก่อนการแข่งขัน
“มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เปลี่ยนไปที่ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง นับตั้งแต่ผมมาที่นี่ เราผ่านทั้งช่วงเวลาที่ดีและช่วงเวลาที่ลำบาก แต่วันพรุ่งนี้ (วันเสาร์) เรามีโอกาสทองที่จะทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่และเป็นประวัติศาสตร์ให้กับสโมสรแห่งนี้”
“นี่จะเป็นนัดชิงชนะเลิศครั้งที่สองของผม และผมไม่อยากปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไป”
การเข้าชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งที่สองของ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เกิดขึ้นหลังจากความพ่ายแพ้อย่างหวุดหวิดต่อ บาเยิร์น มิวนิค เมื่อห้าปีก่อน ซึ่งจัดขึ้นแบบปิดสนามที่ ลิสบอน ในช่วงการระบาดใหญ่
มาร์กินโญส ซึ่งปัจจุบันอายุ 31 ปี และเป็นผู้เล่นที่อยู่กับทีมมานานที่สุดในชุดปัจจุบัน เป็นหนึ่งในสองนักเตะที่เคยลงสนามในนัดชิงปี 2020 และยังคงอยู่กับสโมสร อีกคนคือ เพรสแนล คิมเพมเบ้ ที่ตอนนี้บทบาทลดลง
นับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีมในปี 2013 มาร์กินโญส ก็เคยผ่านประสบการณ์ความพ่ายแพ้ที่น่าอับอาย เช่นเกมที่พ่าย บาร์เซโลน่า 6-1 ในปี 2017 หลังจากชนะ 4-0 ในเลกแรก
ในตอนนั้น หลุยส์ เอ็นริเก้ เป็นโค้ชของ บาร์เซโลน่า และตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนของ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง โดยมีทีมที่อายุน้อยและเปี่ยมไปด้วยพลัง
“เรามีโค้ชที่ยอดเยี่ยมและเตรียมทีมเราได้ดีมาก แม้ว่าเราจะเป็นทีมที่อายุน้อยแต่ทุกคนก็พร้อมสำหรับเกมนี้” มาร์กินโญส กล่าวเสริม
“ผมคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างผสมผสานกันอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของสโมสร, โค้ชที่ยอดเยี่ยมที่เรามี, คุณภาพของนักเตะที่ย้ายเข้ามา นั่นคือเหตุผลที่เรามาถึงตรงนี้”
แม้ว่า ปารีส แซงต์-แชร์กแมง จะพลาดท่าในรอบรองชนะเลิศเมื่อฤดูกาลก่อน และเสีย คีเลียน เอ็มบัปเป้ ให้กับ เรอัล มาดริด แต่พวกเขาก็สามารถคว้าแชมป์ลีกและบอลถ้วยในประเทศ พร้อมกับเอาชนะสามทีมจากพรีเมียร์ลีกอย่าง ลิเวอร์พูล, แอสตัน วิลล่า และ อาร์เซน่อล จนผ่านเข้าสู่รอบชิง
“ตอนนี้ถึงเวลาที่เราต้องคว้าแชมป์และนำถ้วยกลับบ้าน” มาร์กินโญส กล่าวต่อ
ข้างๆ เขาคือ อุสมาน เดมเบเล่ ที่ในฤดูกาลนี้ถูกปรับบทบาทจากปีกกลายเป็นกองหน้าตัวอันตราย ยิงไปแล้ว 33 ประตูในทุกรายการ ทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงรางวัลบัลลงดอร์
“ผมภูมิใจมากที่ได้มายืนที่นี่ในรอบชิง เราทำงานหนักกันมาก” เดมเบเล่ กล่าว ซึ่งเจ้าตัวเคยโดนใบแดงในเกมที่ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง แพ้ บาเยิร์น มิวนิค 1-0 ในรอบแบ่งกลุ่มเมื่อเดือนพฤศจิกายน
ในตอนนั้นมีความเสี่ยงสูงที่ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง จะตกรอบแบ่งกลุ่ม แต่หลังจากนั้นฟอร์มของทีมก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“การเริ่มต้นฤดูกาลไม่ง่ายเลย แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางของทีมได้ในครึ่งหลังของฤดูกาล และมันยอดเยี่ยมมากที่ได้มายืนที่นี่ใน มิวนิค เพื่อเล่นรอบชิงชนะเลิศ เรารู้สึกมีความสุขมาก แม้ว่าเราจะต้องเล่นอย่างจริงจังในเกมนี้”
หลุยส์ เอ็นริเก้ มีโอกาสคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นสมัยที่สองในอาชีพ หลังจากที่เคยชูถ้วยแชมป์กับ บาร์เซโลน่า เมื่อ 10 ปีก่อน
ครั้งนั้น เช่นเดียวกับครั้งนี้ เขาต้องเจอกับทีมจากอิตาลีที่สนามในเยอรมนี โดยครั้งนั้น บาร์เซโลน่า เอาชนะ ยูเวนตุส ที่ เบอร์ลิน
“ตอนนี้ผมมีประสบการณ์เพิ่มขึ้นอีก 10 ปี และผมจะพยายามถ่ายทอดให้กับนักเตะว่าการได้เล่นในนัดชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน” กุนซือชาวสเปนกล่าว
“เรามีโอกาสสร้างประวัติศาสตร์ ทำบางสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำให้สโมสรนี้มาก่อน แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องควบคุมอารมณ์ของเราไม่ให้เกินไป”
“ผมคิดว่าเราพร้อมแล้ว และ อินเตอร์ เองก็คงพร้อมเช่นกัน ผมเชื่อว่านี่จะเป็นนัดชิงที่ยอดเยี่ยม และแน่นอน เป้าหมายของเราคือการคว้าแชมป์”