7msport

“ผมมีชีวิตอยู่เพื่อสร้างความสุขให้ผู้คน” เปิดใจ ‘โรแบร์โต้ บาจโจ้’ ตำนานผู้ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นตำนาน

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ โรแบร์โต้ บาจโจ้ เดินทางไปพบกับ ลิโอเนล เมสซี่ ถึงสนามซ้อมของอินเตอร์ ไมอามี รอยยิ้มของเมสซี่เมื่อได้พบกับฮีโร่ในวัยเด็กคือของขวัญล้ำค่า บาจโจ้มอบเสื้อทีมชาติอิตาลีชุดฟุตบอลโลก 1994 ให้เป็นที่ระลึก เมสซี่รับมันมาด้วยความรู้สึกตื้นตัน ลูบไล้มันเบาๆ ก่อนจะพับเก็บอย่างทะนุถนอม นี่ไม่ใช่แค่การพบกันของสองตำนาน แต่มันคือภาพสะท้อนของกันและกัน

“เพื่อสร้างความบันเทิงให้กับผู้คน นั่นคือสิ่งที่ผมมีชีวิตอยู่เพื่อมัน” บาจโจ้ในวัย 58 ปีกล่าว “นั่นคือความฝันของผม เพื่อให้ผู้คนมีความสุข นั่นคือความคิดที่ผมมีตั้งแต่อายุ 10, 15, 20 จนกระทั่งผมแขวนสตั๊ด”

นี่คือแก่นแท้ของชายผู้ได้รับฉายาว่า “เทพเจ้าเปียทองคำ” เขาไม่เคยเห็นตัวเองเป็นดาวเด่น ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ยูเวนตุสทุ่มเงินเป็นสถิติโลกเพื่อคว้าตัวเขา หรือตอนที่เขาสร้างตำนานลากครึ่งสนามเข้าไปยิงประตูสุดสวยในฟุตบอลโลก 1990

“ขอบคุณนะ แต่ผมไม่เห็นภาพนั้นเลย” เขากล่าวอย่างจริงใจ “ผมไม่รู้จะพูดอะไร ผมรู้สึกเหมือนเป็นหนึ่งในพันล้านคนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ ผมแค่โชคดีที่ได้เล่นฟุตบอลและทำในสิ่งที่ผมรัก”

ชีวิตของเขาสะท้อนคำพูดนั้น บาจโจ้ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านแถบชนบทใกล้เมืองวิเชนซาที่เขาเติบโตมา ขับรถเฟียตแพนด้าคู่ใจ และใช้เวลาว่างไปกับการดูแลสวน ตัดหญ้า และงานซ่อมบำรุง “มันเหมือนกับการออกกำลังกาย มันช่วยให้จิตใจผมปลอดโปร่ง”

เบื้องหลังความมหัศจรรย์ในสนาม คือความเจ็บปวดทางร่างกายที่เกินบรรยาย บาจโจ้เผชิญกับอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าซึ่งเกือบจะจบอาชีพค้าแข้งของเขาตั้งแต่วัยรุ่น เขายังจำได้ดีถึงความทรมานในแต่ละวัน

“ผมซ้อมเสร็จและขับรถกลับบ้าน ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง พอถึงบ้านหลังจากที่งอขามาตลอดทาง ผมไม่สามารถเหยียดขามันให้ตรงได้” เขาเล่า “ภรรยาของผมรู้ดี เธอจะลงมาช่วยผมยืดขาเพื่อให้ผมกลับมาเดินได้อีกครั้ง ในท้ายที่สุด การเลิกเล่นฟุตบอลจึงเป็นเหมือนการปลดปล่อยสำหรับผม มันคือความสุข”

เป๊ป กวาร์ดิโอลา เพื่อนร่วมทีมเก่าของเขาเคยกล่าวถึงบาจโจ้ว่า “ผมโชคดีที่ได้เล่นกับเขาตอนที่เขาผ่านการผ่าตัดหัวเข่ามาแล้ว 6-7 ครั้ง เขายังคงเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดที่ผมเคยเล่นด้วย”

แน่นอนว่าภาพจำที่ชัดเจนที่สุดของแฟนบอลทั่วโลกคือวินาทีที่บาจโจ้ยิงจุดโทษข้ามคานในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1994 มันคือช่วงเวลาที่เขาอยากจะลบเลือนไปจากความทรงจำ

“ถ้าตอนนั้นผมมีมีด ผมคงแทงตัวเองไปแล้ว” เขากล่าวถึงความรู้สึกในวินาทีนั้น “ถ้าผมมีปืน ผมคงยิงตัวเอง ในวินาทีนั้นผมอยากจะตาย นั่นคือความรู้สึกจริงๆ”

แต่บาจโจ้ไม่ได้ตายในวันนั้น เขากลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิมด้วยพลังจากศาสนาพุทธที่เขาค้นพบโดยบังเอิญในร้านแผ่นเสียงระหว่างพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ “ผมคงไม่ใช่ผมในวันนี้ถ้าผมไม่ได้เดินบนเส้นทางนี้ ผมมั่นใจ 100% การปฏิบัติธรรมทุกวันช่วยดึงส่วนที่ดีและสวยงามในชีวิตผมออกมา”

แฟนบอลไม่เคยให้อภัยเขา เพราะมันไม่มีอะไรต้องให้อภัย ตรงกันข้าม พวกเขารักเขามากขึ้น เพราะบาจโจ้เล่นฟุตบอลเพื่อให้พวกเขาลืมปัญหาของตัวเอง และพวกเขาก็ลืมความผิดหวังที่พาซาดีนาไปจนหมดสิ้น

ทุกวันนี้ แม้จะห่างหายจากวงการไปนาน แต่ชื่อของ “โรแบร์โต้ บาจโจ้” ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจแฟนบอล เขาเลือกที่จะกลับมาใช้ชีวิตเรียบง่ายกับครอบครัว “ผมเลือกอิสรภาพ และนั่นคือสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้” เขากล่าวทิ้งท้าย

และดังที่รอยยิ้มบนใบหน้าของเมสซี่ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว การได้พบกับบาจโจ้… ก็เป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้เช่นกัน