7msport

ปฏิวัติแท็กติกพรีเมียร์ลีก: เจาะลึก ‘ฟุตบอลไดเร็ค’ ยุคใหม่ อาวุธลับที่เปลี่ยนโฉมเกม

ลืมภาพจำของการต่อบอลสั้นอันสวยงามไปได้เลย เพราะ ณ วันพุธที่ 15 ตุลาคม 2025 พรีเมียร์ลีกกำลังหวนคืนสู่รากเหง้าแห่งความดุดันอีกครั้ง… แต่ในเวอร์ชั่นที่ซับซ้อนและอันตรายกว่าเดิม สถิติล่าสุดชี้ชัดว่าค่าเฉลี่ยการผ่านบอลต่อเกมลดลงต่ำที่สุดในรอบ 15 ปี ขณะที่การวางบอลยาวพุ่งสูงขึ้นกว่า 100 ครั้งต่อเกม

นี่ไม่ใช่การกลับไปสู่ยุค “โยนบอมบ์” แบบไร้ทิศทาง แต่มันคือวิวัฒนาการที่ถูกบีบให้เกิดขึ้นจากการที่ทุกทีมต่างนิยมใช้แผนตั้งรับสูง (High defensive lines) และการไล่เพรสซิ่งอย่างหนักหน่วง (Counter-pressing) ซึ่งมันได้เปิด “พื้นที่ว่างมหาศาล” ด้านหลังแนวรับคู่แข่ง และ “ฟุตบอลไดเร็ค” ก็คือคำตอบที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการโจมตีพื้นที่นั้น

คลื่นดาวยิงยุคใหม่อย่าง เออร์ลิง ฮาลันด์, เบนจามิน เซสโก้, วิคตอร์ เกียวเคเรส หรือแม้แต่ อเล็กซานเดอร์ อิซัค ของลิเวอร์พูล คือตัวแทนของยุคสมัยนี้ ที่ซึ่ง “พละกำลัง” และ “การยืนตำแหน่ง” กลายเป็นหัวใจสำคัญในการเปลี่ยนเกม และนี่คือรูปแบบต่างๆ ของฟุตบอลไดเร็คที่เราได้เห็นในพรีเมียร์ลีก

1. ไดเร็คแบบมีระบบ (Controlled-vertical): ลิเวอร์พูล, คริสตัล พาเลซ นี่คือศิลปะของการโจมตีที่รวดเร็วแต่ยังคงไว้ซึ่งโครงสร้างที่แข็งแกร่ง และ ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของ อาร์เน่ สล็อต คือต้นแบบที่สมบูรณ์แบบที่สุด สล็อตได้สานต่อความเข้มข้นในยุคคล็อปป์ แต่เพิ่มวินัยและการโจมตีจากแกนกลางที่เฉียบคมขึ้น การวางบอลยาวในแนวลึกของ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ประกอบกับการมีสองมิดฟิลด์ตัวรับคอยสกรีน ทำให้ “หงส์แดง” สามารถเปลี่ยนเกมรับเป็นรุกได้อย่างรวดเร็วและอันตราย โดยไม่เปิดช่องว่างให้คู่แข่งสวนกลับ

2. ไดเร็คโจมตีริมเส้น (Wide-driven): ฟูแล่ม, เวสต์แฮม, ฟอเรสต์ ทีมกลุ่มนี้เน้นการใช้ความกว้างของสนามเป็นอาวุธหลัก พวกเขานิยมการวางบอลยาวในแนวทแยงไปยังพื้นที่ริมเส้นอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างโอกาส แต่บ่อยครั้งที่การโจมตีมักจะจบลงด้วยการครอสบอลที่ไร้ความหวัง ซึ่งสะท้อนถึงการขาดความแน่นอนในการสร้างสรรค์โอกาสในพื้นที่สุดท้าย

3. ไดเร็คสายโกลาหล (Volume and chaos): บอร์นมัธ, เอฟเวอร์ตัน บอร์นมัธคือราชาแห่ง “Chaos-ball” พวกเขาเล่นด้วยความเร็วสูงสุด แย่งบอลกลับมาแล้วรีบส่งไปข้างหน้าทันที ผลลัพธ์คือจำนวนการยิงประตูที่มหาศาล (15.1 ครั้งต่อ 90 นาที) แต่ก็แลกมาด้วยคุณภาพของโอกาสที่ต่ำ ขณะที่เอฟเวอร์ตันในยุคก่อนจะเน้นไปที่ลูกตั้งเตะและการแย่งชิง “บอลจังหวะสอง” (Second balls) เป็นหลัก

หัวใจสำคัญที่ขาดไม่ได้: “บอลจังหวะสอง” และ “คัตแบ็ค” การเล่นบอลยาวจะไร้ความหมายหากไม่สามารถเก็บบอลจังหวะสองได้ และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลนี้ก็ได้แสดงให้เห็นถึงการใช้ “บอลจังหวะสอง” เป็นอาวุธได้อย่างยอดเยี่ยม เช่นในเกมกับเชลซี ที่ประตูแรกเกิดจากการที่เซสโก้ขึ้นโหม่งชง และเอ็มเบวโม่วิ่งสอดเข้าไปในพื้นที่ว่างที่ถูกสร้างขึ้น

ขณะเดียวกัน “คัตแบ็ค” (Cutback) หรือการตบเรียดกลับเข้ากลาง ก็ยังคงเป็นวิธีการจบสกอร์ที่ “สะอาด” และมีประสิทธิภาพที่สุดของการโจมตีแบบไดเร็ค ซึ่งเอฟเวอร์ตันในฤดูกาลนี้ได้พัฒนาการเล่นรูปแบบนี้ขึ้นมาอย่างน่าทึ่งหลังการมาถึงของ แจ็ค กรีลิช และ เคียร์แนน ดิวส์เบอรี่-ฮอลล์

บทสรุปของเทรนด์ในวันนี้จึงชัดเจน: พรีเมียร์ลีกกำลังเร็วขึ้น, ยาวขึ้น และดุดันขึ้น มันไม่ใช่การถอยหลังเข้าคลอง แต่คือการปรับตัวเพื่อหาทางออกที่มีประสิทธิภาพที่สุดในยุคสมัยแห่งการเพรสซิ่ง และทีมที่สามารถควบคุม “ความโกลาหล” นี้ได้ดีที่สุด ก็คือทีมที่จะยืนอยู่บนจุดสูงสุดในท้ายที่สุด