ยุคสมัยของ ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการแล้ว! เมื่อล่าสุดได้มีการประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลบัลลงดอร์ 30 คนสุดท้ายออกมา โดยปราศจากชื่อของสองสุดยอดนักเตะแห่งยุคเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสองทศวรรษ และนี่คือการเปิดศักราชใหม่ที่เต็มไปด้วยผู้ท้าชิงที่น่าสนใจ และนี่คือส่วนหนึ่งของผู้เล่นที่ถูกยกให้เป็นตัวเต็ง
อุสมาน เดมเบเล่ (ปารีส แซงต์-แชร์กแมง / ฝรั่งเศส) หากย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน คงไม่มีใครคาดคิดว่าชื่อของเขาจะกลับมาอยู่ในจุดนี้ แต่หลังจากที่ย้ายออกจากบาร์เซโลน่า เดมเบเล่ก็ได้กลายร่างเป็นผู้เล่นคนใหม่ที่สมบูรณ์แบบ เขากลายเป็นหัวใจในเกมรุกของ หลุยส์ เอ็นริเก้ ด้วยความเร็ว, ทักษะ และที่สำคัญที่สุดคือความเฉียบคมในการจบสกอร์ที่เคยขาดหายไป การพาทีมคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยแรกของสโมสร ทำให้เขาคือหนึ่งในตัวเต็งที่ปฏิเสธไม่ได้
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (ลิเวอร์พูล / อียิปต์) “ถ้ามันจะเกิดขึ้น มันก็ต้องเป็นปีนี้แหละ” – แฟนหงส์แดงทั่วโลกต่างคิดเช่นนั้น ผลงานของ “เดอะ คิง” ในการพาทีมป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2024-25 นั้นยิ่งใหญ่เกินคำบรรยาย เขาคว้าทั้งรางวัลรองเท้าทองคำและรางวัลเพลย์เมกเกอร์ ด้วยสถิติสุดโหด 29 ประตู กับอีก 18 แอสซิสต์ในลีก ซึ่งเป็นการมีส่วนร่วมกับประตูถึง 47 ครั้ง เทียบเท่าสถิติสูงสุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก “ตัวเลขที่บ้าคลั่ง” คือคำนิยามจากปากของ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และมันถึงเวลาแล้วที่ความสุดยอดของเขาจะได้รับการยอมรับในระดับโลกเสียที
ลามีน ยามาล (บาร์เซโลน่า / สเปน) “เด็กเกินไป” คือคำวิจารณ์ที่เขาต้องเจอ แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเขาคือผู้เล่นที่มีพรสวรรค์สูงที่สุดในโลก ณ เวลานี้ ปรากฏการณ์ ‘Yamal-mania’ ได้เกิดขึ้นทั่วโลก และฟอร์มการเล่นที่มหัศจรรย์ของเขา ทั้งการพาบาร์เซโลน่าคว้าแชมป์ในประเทศ และการสร้างความแตกต่างในเกมใหญ่ระดับแชมเปี้ยนส์ ลีก ก็คือเครื่องพิสูจน์ว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข เมสซี่ไม่จำเป็นต้องคว้าแชมป์โลกเพื่อที่จะได้บัลลงดอร์ในปี 2010 และ ยามาล ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องคว้าแชมป์ยุโรปเพื่อที่จะถูกยกให้เป็นเบอร์หนึ่งของโลกในปี 2025 เช่นกัน
โคล พาลเมอร์ (เชลซี / อังกฤษ) คุณต้องเถียงอะไรอีกสำหรับชายผู้ตัดสินเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปี 2025? นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในนัดชิงชนะเลิศ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ ที่ โคล พาลเมอร์ ระเบิดฟอร์มเทพด้วยการทำ 2 ประตู กับอีก 1 แอสซิสต์ พลิกสถานการณ์และพาเชลซีโค่น เปแอสเช คว้าแชมป์โลกไปครองอย่างยิ่งใหญ่ แม้ฟอร์มในลีกอาจจะไม่สม่ำเสมอ แต่เขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าในเกมใหญ่ที่เดิมพันสูง เขาก็พร้อมที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ชนะเสมอ