แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่าหนึ่งสัปดาห์ แต่เสียงเครื่องยนต์และเสียงไชโยโห่ร้องที่สนามมันดาลิกา ประเทศอินโดนีเซีย ยังคงก้องกังวานอยู่ในหัวใจของ เฟร์มิน อัลเดเกร์ และแฟนมอเตอร์สปอร์ตทั่วโลก ชัยชนะครั้งแรกในรุ่นพรีเมียร์คลาสของเขา ไม่ใช่แค่การคว้า 25 คะแนน แต่คือการจารึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่
ด้วยวัยเพียง 20 ปี กับอีก 183 วัน เขาได้กลายเป็นนักบิดอายุน้อยที่สุดอันดับสองตลอดกาลที่คว้าชัยชนะในรุ่นสูงสุดได้สำเร็จ เป็นรองเพียงตำนานที่ยังมีลมหายใจอย่าง มาร์ค มาร์เกซ เท่านั้น และล่าสุด อัจฉริยะหนุ่มจากมูร์เซียก็ได้ออกมาเปิดใจกับ Onda Regional ถึงเบื้องหลังความสำเร็จที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล
“การชนะใน MotoGP คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มาก และการเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดอันดับสองในประวัติศาสตร์ก็เหมือนเป็นรางวัลพิเศษอีกชั้น” อัลเดเกร์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเจือความตื่นเต้นแต่แฝงไว้ด้วยความถ่อมตน “ชัยชนะครั้งนี้คือผลลัพธ์ของการทำงานหนักมาตลอดทั้งฤดูกาล มันน่าเหลือเชื่อมาก”
แต่เบื้องหลังชัยชนะที่ดูเหมือนจะง่ายดายนั้น เขาต้องต่อสู้กับ “ปีศาจในใจ” อย่างหนักหน่วงในช่วงท้ายของการแข่งขัน
“เรซนั้นมันยาวนานเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด” เขาสารภาพ “ตอนที่เหลืออีก 5 รอบสุดท้าย มันยากมากที่จะรักษาสมาธิเอาไว้ มีหลายสิ่งหลายอย่างวิ่งเข้ามาในหัวผมเต็มไปหมด ผมพยายามทำใจให้เย็นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
“จนกว่าคุณจะขี่ผ่านธงหมากรุก คุณไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคุณจะชนะ… แต่หลังจากที่ผมแซง เปโดร อคอสต้า และทิ้งห่างได้วินาทีครึ่ง ผมก็คิดว่าผมน่าจะมีเพซที่ดีพอ และเมื่อระยะห่างมันเพิ่มขึ้นเป็น 5 วินาที ผมก็บอกกับตัวเองว่า ‘มีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้ตัวเองแพ้ในเรซนี้ได้'”
เมื่อมองย้อนกลับไปตลอดทั้งฤดูกาลแรกของเขาในฐานะรุกกี้ อัลเดเกร์ยอมรับว่าเส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่นั่นคือบทเรียนที่ล้ำค่าที่สุด
“พัฒนาการของผมมันเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป มีทั้งช่วงที่ดีและช่วงที่แย่เพราะขาดประสบการณ์ มีความผิดพลาดที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่มันก็ทำให้ผมได้เรียนรู้และพัฒนาขึ้น ‘ความผิดพลาดเหล่านั้นทำให้ผมเก่งขึ้น'”
นี่คือหัวใจสำคัญที่หล่อหลอมให้เขาแข็งแกร่งขึ้นจนคว้าชัยชนะมาครองได้ และสำหรับอนาคตข้างหน้า เขาก็ตั้งเป้าหมายไว้อย่างชัดเจน “ผมต้องการเรียนรู้ต่อไป รักษามาตรฐานการจบใน 5 อันดับแรกให้ได้สม่ำเสมอ และต่อสู้เพื่อเก็บคะแนนให้ได้มากที่สุด”
คำพูดของ เฟร์มิน อัลเดเกร์ ได้แสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะที่เกินวัย และตอกย้ำว่าชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ของเขา ไม่ใช่เรื่องของโชคช่วย แต่คือผลลัพธ์ของพรสวรรค์, การทำงานหนัก และที่สำคัญที่สุดคือ “หัวใจ” ที่ไม่เคยยอมแพ้ต่อความผิดพลาดของตัวเอง
