สนามเซปัง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต ลุกเป็นไฟอีกครั้ง กับการแข่งขัน MotoGP 2025 รายการ มาเลเซียน กรังด์ปรีซ์ ที่เต็มไปด้วยดราม่าและการหักมุม เมื่อ 3 ค่ายผู้ผลิตที่แตกต่างกัน สามารถผงาดขึ้นโพเดียมได้สำเร็จ แต่ในทางกลับกัน ค่ายที่ถูกคาดหวังไว้สูงที่สุด กลับไม่สามารถทำผลงานได้ตามเป้า
นี่คือบทวิเคราะห์ “ผู้ชนะ” และ “ผู้แพ้” ที่ชัดเจนที่สุด หลังจบการแข่งขันอันดุเดือดที่มาเลเซีย
ผู้ชนะ: อเล็กซ์ มาร์เกซ (Gresini Ducati) – เมื่อความกดดันถูกปลดปล่อย
ผู้ชนะที่แท้จริงของสุดสัปดาห์นี้คือ อเล็กซ์ มาร์เกซ อย่างไม่ต้องสงสัย
เพียงไม่กี่วันหลังจากข่าวช็อกที่พี่ชายของเขา (มาร์ค มาร์เกซ) ประกาศถอนตัวจากฤดูกาลที่เหลือเพื่อพักฟื้นอาการบาดเจ็บ อเล็กซ์ก็แบกรับความหวังของตระกูลมาร์เกซไว้เต็มบ่า เขาสามารถการันตำแหน่ง “รองแชมป์โลก” ได้สำเร็จในวันเสาร์ ซึ่งเปรียบเหมือนการยกภูเขาออกจากอก
เมื่อเข้าสู่เรซหลักวันอาทิตย์ อเล็กซ์ มาร์เกซ ที่ “ปลดปล่อย” ตัวเองจากความกดดันเรื่องคะแนนสะสม ได้แสดงให้โลกเห็นถึงความดุดันที่แท้จริง แม้จะเสียตำแหน่งให้ เปโดร อคอสต้า ในช่วงออกตัว เขาก็ทวงคืนได้ทันที และที่สำคัญที่สุดคือการตัดสินใจเด็ดขาด แซง ฟรานเชสโก้ บันยาญ่า ขึ้นเป็นผู้นำในรอบที่สอง
จากจุดนั้น มันคือการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบของนักบิดวัย 29 ปี เขาควบคุมยางและความเร็วได้อย่างเหนือชั้น ในขณะที่ บันยาญ่า และ อคอสต้า ต้องต่อสู้กันเอง นี่คือชัยชนะครั้งที่ 3 ของเขาในฤดูกาลนี้ และเป็นการตอกย้ำว่า เมื่ออยู่บนรถที่พร้อมที่สุด เขาก็คือหนึ่งในนักบิดที่อันตรายที่สุดในสนาม
ผู้ชนะ: เปโดร อคอสต้า และ KTM – เดิมพันที่กล้าบ้าบิ่น
หาก อเล็กซ์ คือผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ เปโดร อคอสต้า และทีม KTM ก็คือผู้ชนะใจคนดู
ก่อนแข่ง KTM ดูเหมือนจะถึงทางตัน ยางซอฟต์ก็นิ่มเกินไปสำหรับเรซยาว ส่วนยางมีเดียมก็ยึดเกาะไม่พอ พวกเขาดูเหมือนจะต้องจมอยู่กลางกลุ่ม แต่ อคอสต้า คิดต่าง เขาเลือกเดิมพันกับ “ยางซอฟต์” และทำการตัดสินใจที่ “กล้าบ้าบิ่น” ด้วยการ “ปิดระบบควบคุมทั้งหมด” แล้วใช้สัญชาตญาณในการจัดการยางด้วยตัวเองล้วนๆ
ผลลัพธ์คือ ปาฏิหาริย์! เด็กหนุ่มมหัศจรรย์คนนี้เกาะติด บันยาญ่า ได้ตลอดครึ่งเรซแรก และเมื่อแชมป์โลกชาวอิตาลีเริ่มแผ่ว เขาก็เสียบขึ้นไปคว้าอันดับ 2 มาครองได้อย่างน่าทึ่ง นี่ยังไม่รวมฟอร์มของทีมเมทอย่าง บาสเตียนินี่ (จากที่ 19) และ บินเดอร์ (จากที่ 18) ที่ไต่กลับมาจบใน Top 10 ได้ นี่คือสุดสัปดาห์ที่ KTM เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสอย่างแท้จริง
ผู้แพ้: เฟอร์มิน อัลเดเกอร์ – โอกาสทองที่หลุดลอย
แม้ว่า เฟอร์มิน อัลเดเกอร์ จะคว้าตำแหน่ง “รุกกี้แห่งปี” (Rookie of the Year) ได้ในสัปดาห์นี้ แต่มันกลับถูกบดบังด้วยความผิดพลาดตลอดทั้งสุดสัปดาห์ นี่คือ “โอกาสทองที่หลุดลอย” อย่างน่าเสียดาย
เขาพลาดการเข้ารอบ Q2 โดยตรง, ล้มในรอบ Q1 (ต้องใช้รถสำรอง), มีเหตุการณ์กระทบกระทั่งในพิทเลน, และยังโดนลงโทษเรื่องแรงดันยางในเรซสปรินต์
หลายคนมองว่าเขาคือ “ม้ามืด” ในวันอาทิตย์ แต่การไล่ล่าที่ทุกคนรอคอยก็ไม่เกิดขึ้นจริง เขาดิ้นรนอยู่ในกลุ่มท้าย Top 10 ก่อนจะพลาดล้มในโค้งสุดท้ายขณะที่เหลืออีก 5 รอบ ปิดฉากสุดสัปดาห์ที่ควรจะเป็นของเขา ด้วยกองทรายข้างแทร็ก
ผู้แพ้: Aprilia – จากสวรรค์สู่ความเป็นจริง
ชัยชนะ 2 สนามล่าสุดที่อินโดนีเซียและออสเตรเลีย ทำให้หลายคนคิดว่า Aprilia ได้พัฒนาจนกลายเป็นผู้ท้าชิงแชมป์ที่สมบูรณ์แบบแล้ว แต่ที่เซปัง พวกเขา “เหมือนถูกดึงกลับสู่ความเป็นจริง”
นี่คือหนึ่งในสุดสัปดาห์ที่เลวร้ายที่สุดของค่ายอิตาลี พวกเขาไม่มีรถแม้แต่คันเดียวที่ผ่านเข้ารอบ Q2 ในวันอาทิตย์ นักบิดที่ดีที่สุด (อาอิ โอกุระ) จบอันดับ 10 ตามหลังผู้ชนะถึง 20 วินาที ส่วน ราอูล เฟอร์นันเดซ ผู้ชนะจากออสเตรเลีย ก็พลาดล้มไปอีก
แม้จะมีข้อแก้ตัวเรื่องสภาพอากาศที่เย็นกว่าปกติ หรือการที่เรซแข่งก่อน Moto2 แต่ข้อเท็จจริงคือ Aprilia กลายเป็นค่ายที่ช้าที่สุดในสนาม แซงหน้าพวกเขาไปหมด ทั้ง KTM, Honda หรือแม้แต่ Yamaha
บทเรียนราคาแพง: บันยาญ่า และ Yamaha
สำหรับ ฟรานเชสโก้ บันยาญ่า (ผู้แพ้ที่น่ายกย่อง) เขายังคงแสดงให้เห็นถึง “หัวใจของแชมป์โลก” แม้จะไม่คุ้นเคยกับรถเอาเสียเลย เขาสู้จาก Q1 มาคว้าโพล และสู้กับ อคอสต้า ได้อย่างสมศักดิ์ศรี แต่ดราม่าที่แท้จริงคือการเปิดเผยว่า เขายางรั่วตั้งแต่ “รอบที่ 12” ไม่ใช่รอบที่ 17 ที่เขาต้องออกจากเรซ การที่เขายังประคองรถสู้ได้นานขนาดนั้น ถือว่าน่าทึ่งมากแล้ว
ส่วน Yamaha ที่นำรถต้นแบบ V4 ใหม่มาทดสอบในฐานะ Wild Card กลับเลือกใช้ “โหมดปลอดภัย” เพื่อเน้นความน่าเชื่อถือมากกว่าความเร็ว ผลคือพวกเขากลายเป็นรถที่ช้าที่สุดในสนามไปโดยปริยาย เป็นการทดสอบที่น่าผิดหวัง และยังเหลือคำถามอีกมากก่อนการเปิดตัวจริงในปี 2026
