ในวงการมอเตอร์สปอร์ต ความใฝ่ฝันสูงสุดของนักแข่งทุกคนมักจะจบลงที่การได้เซ็นสัญญากับ “ทีมโรงงาน” (Factory Team) ใส่ชุดแข่งสีหลักของค่ายและรับเงินก้อนโต แต่สำหรับ เฟอร์มิน อัลเดเกร ดาวรุ่งพุ่งแรงเจ้าของตำแหน่ง “รุกกี้แห่งปี 2025” เขากลับมองเกมนี้ลึกซึ้งกว่านั้น
หลังจากแจ้งเกิดเต็มตัวในฤดูกาลแรกกับทีม Gresini Racing ด้วยการคว้าชัยชนะประวัติศาสตร์ที่อินโดนีเซีย และจบอันดับ 8 ของโลก อัลเดเกรได้กลายเป็นชื่อที่ถูกจับตามองที่สุดสำหรับตลาดนักบิดในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อมองไปถึงปี 2027
“รถ” สำคัญกว่า “ทีม”
อัลเดเกร ให้สัมภาษณ์กับสื่อดังอย่าง Marca โดยชี้ให้เห็นสัจธรรมข้อหนึ่งว่า การอยู่ในทีมโรงงานย่อมมาพร้อมความกดดันมหาศาล
“การได้ขี่รถทีมโรงงานถือเป็นข้อได้เปรียบแน่นอนครับ แต่มันก็มาพร้อมกับความกดดันว่าคุณต้องสร้างผลงานทันที สำหรับผม สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การได้ชื่อว่าอยูทีมโรงงาน แต่คือการได้รับการสนับสนุนระดับโรงงานและได้ขี่รถตัวท็อป (GP27) ต่างหาก”
เจ้าหนูสแปนิชมองข้ามช็อตไปถึงปี 2027 ซึ่งจะเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงกฎกติกาครั้งใหญ่ (ลดขนาดเครื่องยนต์เหลือ 850cc) “ในปีที่รถมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตั้งสนามแรกยันสนามสุดท้าย การได้รับการซัพพอร์ตโดยตรงจากผู้ผลิตคือสิ่งชี้ชะตาแพ้ชนะ ไม่ว่าจะสังกัดทีมไหนก็ตาม”
ศรัทธาใน Ducati
แม้ปี 2025 จะมีคู่แข่งอย่าง Aprilia ที่เริ่มหายใจรดต้นคอในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล และความกังวลว่าการเปลี่ยนกฎปี 2027 อาจทำให้บัลลังก์ของ Ducati สั่นคลอน แต่อัลเดเกรยังคงเชื่อมั่น
“ผมไม่คิดว่ารถที่ดีที่สุดจะกลายเป็นรถที่แย่ที่สุดเพียงชั่วข้ามคืน… ช่องว่างระหว่างค่ายอาจจะลดลง แต่เป้าหมายของผมยังชัดเจน คือการได้ครอบครองรถสีแดง (Ducati) คันนั้น”
ศึกสายเลือด Gresini ปี 2026
สำหรับฤดูกาลหน้า (2026) จะเป็นบทพิสูจน์ฝีมือของอัลเดเกรอีกครั้ง เมื่อเขาต้องลงแข่งด้วยเงื่อนไขที่เป็นรองเพื่อนร่วมทีม
-
อเล็กซ์ มาร์เกซ: จะได้ใช้รถสเปกโรงงานล่าสุด (Ducati GP26)
-
เฟอร์มิน อัลเดเกร: จะใช้รถสเปกปีเก่า (Ducati GP25)
แม้จะดูเสียเปรียบ แต่อัลเดเกรมองว่านี่คือโอกาสพิสูจน์ตัวเอง “ถ้าผมสามารถจบหน้าอเล็กซ์ มาร์เกซ ได้ นั่นหมายความว่าผมทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมาก เพราะเขาคือคนที่มีลุ้นท็อป 3 ด้วยรถที่ดีกว่า แต่ผมจะไม่กดดันตัวเองด้วยเรื่องนั้น เป้าหมายหลักคือการเรียนรู้ และพาตัวเองเข้าไปป้วนเปี้ยนในกลุ่มท็อป 5 ให้ได้บ่อยที่สุด”
นี่คือทัศนคติของผู้ชนะ ที่ไม่ได้มองหาข้ออ้าง แต่มองหาหนทางที่จะรีดศักยภาพของตัวเองออกมาให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สีเสื้อใดก็ตาม