มาร์โก ซิลวา ผู้จัดการทีมฟูแล่ม แสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อการตัดสินที่เต็มไปด้วยข้อกังขาหลายครั้ง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมของเขาบุกไปพ่ายแพ้ต่อเชลซี 2-0 ที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหูถึงมาตรฐานของผู้ตัดสินและ VAR
กุนซือชาวโปรตุกีสถึงกับกล่าวว่าการตัดสินบางอย่าง “ไม่น่าเชื่อ” และยอมรับว่าเขา “พูดไม่ออก” กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการเสียประตูแรกในช่วงทดเวลาบาดเจ็บที่เกินกว่ากำหนด และการถูกริบประตูคืนอย่างน่ากังขา ซึ่งนี่คือการเจาะลึก 3 เหตุการณ์สำคัญที่กลายเป็นประเด็นดราม่าหลังเกม
ประเด็นที่ 1: ประตูที่ถูกริบคืนของฟูแล่ม ในนาทีที่ 21 จอช คิง คิดว่าเขาส่งบอลตุงตาข่ายให้ทีมเยือนขึ้นนำได้สำเร็จ แต่ผู้ตัดสิน โรเบิร์ต โจนส์ หลังจากได้รับการแทรกแซงจาก VAR และไปดูจอด้วยตัวเอง ก็กลับคำตัดสินโดยให้เหตุผลว่า โรดริโก้ มูนิซ ไปทำฟาวล์ เทรโวห์ ชาโลบาห์ ในจังหวะก่อนหน้า จากภาพช้าแสดงให้เห็นว่ามูนิซพยายามบังบอลและบังเอิญไปเหยียบเท้าของชาโลบาห์โดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่ง ไมค์ ดีน อดีตผู้ตัดสินชื่อดังยังมองว่า “เป็นการตัดสินที่แย่มาก VAR ไม่ควรเข้ามาแทรกแซงเลย มันเป็นอุบัติเหตุชัดๆ”
ประเด็นที่ 2: ประตูแรกของเชลซีที่มาในช่วงทดเจ็บเกินเวลา แม้ฟูแล่มจะทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจในครึ่งแรก แต่พวกเขาก็ต้องมาเสียประตูให้กับ เจา เปโดร ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก ซึ่งป้ายทดเวลาชูขึ้นมา 8 นาที แต่ประตูเกิดขึ้นหลังจากเวลาผ่านไปแล้วถึง 55 วินาที แม้ตามกฎแล้วเวลาที่ประกาศคือ “เวลาขั้นต่ำ” แต่ มาร์โก ซิลวา ก็ตั้งคำถามว่า “ผู้ตัดสินต้องหยุดเกมแล้ว มันคือกฎ เขาต้องหยุดเกม”
ประเด็นที่ 3: จุดโทษปัญหาของเชลซี สถานการณ์ของฟูแล่มย่ำแย่ลงไปอีกในนาทีที่ 56 เมื่อผู้ตัดสินเป่าให้จุดโทษแก่เชลซีจากจังหวะแฮนด์บอลของ ไรอัน เซสเซยง ซึ่งเป็นจังหวะที่ชัดเจน แต่สิ่งที่สร้างความกังขาคือเหตุการณ์ไม่กี่วินาทีก่อนหน้านั้น ที่บอลดูเหมือนจะไปโดนแขนของ เจา เปโดร ผู้เล่นเชลซี แต่ VAR กลับไม่ได้พิจารณาจังหวะดังกล่าวอย่างละเอียด ซิลวาชี้ว่า “ในครึ่งเดียวกันกับที่พวกเขาเจอจังหวะเหยียบเท้าของมูนิซแบบไม่น่าเชื่อ คนกลุ่มเดียวกันกลับมองไม่เห็นจังหวะแสตมป์ใส่ โยอาคิม แอนเดอร์เซน”
ความพ่ายแพ้ในเกมนี้ทำให้ มาร์โก ซิลวา รู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง โดยเขากล่าวทิ้งท้ายว่า “ในรอบแปดวัน เราเจอเรื่องแบบนี้สองครั้ง มันเป็นสิ่งที่เข้าใจไม่ได้ มันมากเกินไปจริงๆ”