7msport

ซน ฮึง-มิน หัวหอกกัปตันทีมของ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ตั้งเป้านำต้นสังกัดคว้าแชมป์ ยูโรปา ลีก ที่เมือง บิลเบา เพื่อเติมเต็มความฝันสุดท้ายของเขากับสโมสรแห่งนี้

ตลอด 10 ปีที่ค้าแข้งในกรุงลอนดอน เขายิงไปแล้ว 173 ประตูจาก 451 นัด แต่กลับยังไม่เคยได้สัมผัสถ้วยรางวัลใด ๆ กับ ไก่เดือยทอง เลย โดยในช่วงที่ผ่านมา เขาได้เห็นอดีตเพื่อนร่วมทีมอย่าง อูโก้ ยอริส และ แฮร์รี่ เคน อำลาสโมสรไปตามลำดับ

เจ้าตัวเคยผ่านประสบการณ์เจ็บปวดในนัดชิงมาแล้วสองครั้ง ทั้งเกมชิงถ้วย แชมเปียนส์ลีก กับ ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2019 และศึก คาราบาว คัพ ที่พ่ายต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สนามเวมบลีย์เมื่อ 4 ปีก่อน อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เขารู้สึกแตกต่างออกไป

แม้ผลงานใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้จะน่าผิดหวัง แต่ลูกทีมของ อังเก้ ปอสเตโคกลู กลับโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจในเวทียุโรป ไล่เขี่ยทั้ง อาแซด อัล์คมาร์, ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต และ โบโด กลิมท์ ตกรอบ แถมยังเคยเอาชนะว่าที่คู่ชิงอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ถึง 3 ครั้งในซีซั่นนี้


ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อเกาหลีใต้ในวันมีเดียเดย์ก่อนชิงชนะเลิศ ซน กล่าวว่า

“เราพูดถึงเรื่องนี้กันมาหลายปีแล้ว เหตุผลสำคัญที่ผมเลือกอยู่กับ สเปอร์ส ก็คือผมอยากทำบางสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถทำได้
นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมยังอยู่ที่นี่ พัซเซิลทุกชิ้นผมเก็บมาครบแล้ว เหลือแค่ชิ้นสุดท้ายเท่านั้น
ผมตามหาชิ้นนี้มา 10 ปีเต็ม และหวังว่านี่จะเป็นโอกาสที่ผมจะได้ต่อภาพให้สมบูรณ์สักที”

ซน ยังเล่าถึงบทสนทนากับเพื่อนเก่าอย่าง แฮร์รี่ เคน ที่เพิ่งคว้าแชมป์ บุนเดสลีกา กับ บาเยิร์น มิวนิค ว่า

“ผมส่งข้อความไปหาเขา แล้วเขาก็โทรกลับมาทางวิดีโอคอล ผมดีใจมากที่เห็นเขามีความสุข
เขาคือหนึ่งในเพื่อนสนิทที่สุดของผม และเมื่อเห็นเพื่อนประสบความสำเร็จ ผมรู้สึกเหมือนคนในครอบครัวเลย
พลังบวกจากเขาอาจช่วยให้เราได้ผลการแข่งขันที่ดีในนัดชิงก็เป็นได้”


ปอสเตโคกลู เชื่อแชมป์ยุโรปจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของ สเปอร์ส

แม้อนาคตของ อังเก้ ปอสเตโคกลู กับสโมสรยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่เจ้าตัวยืนกรานว่าหากคว้าแชมป์ในครั้งนี้ได้ จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของทีมอย่างแท้จริง

สเปอร์ส ไม่ได้แชมป์รายการใดเลยมาตั้งแต่ปี 2008 ส่วนถ้วยยุโรปครั้งสุดท้ายต้องย้อนกลับไปถึงปี 1984 ที่พวกเขาคว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ แต่ฤดูกาลที่น่าผิดหวังในลีกทำให้ตำแหน่งของ ปอสเตโคกลู ตกอยู่ภายใต้ความกดดัน

“สำหรับผม มันอาจจะเป็นแชมป์อีกใบหนึ่งที่ผมได้เก็บไว้ในความทรงจำเมื่อแก่ตัวลง
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือสิ่งที่มันจะหมายถึงสำหรับสโมสร
หากเราทำได้ มันจะเปลี่ยนทั้งวิธีที่คนภายนอกมองเรา และที่สำคัญกว่านั้นคือวิธีที่เรามองตัวเอง”

เขายังเสริมว่า

“ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เราถูกตัดสินเสมอว่าไม่เคยทำได้ในเวทีใหญ่ ๆ
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนความคิดนั้น และสิ่งเดียวที่จะเปลี่ยนได้คือลงมือทำจริง ๆ
ผมบอกลูกทีมเสมอว่า เมื่อวันหนึ่งคุณกลับมายืนที่สนามแห่งนี้ อยากให้คุณเห็นชื่อของคุณอยู่บนผนังเคียงข้างตำนานของทีม
ตอนนี้มันมีแต่ภาพขาวดำของ บิล นิโคลสัน กับทีมชุดปี 1984
ถึงเวลาหรือยังที่เราจะเป็นภาพสีในตำนานของสโมสรนี้?”


แม้ฟอร์มในเกมเยือนกับ ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต และ โบโด กลิมท์ จะเพิ่มความมั่นใจให้กับทีม แต่ปัญหาอาการบาดเจ็บยังคงตามรังควาน โดย ลูคัส เบิร์กวัลล์ และ เจมส์ แมดดิสัน ต้องพักยาวทั้งฤดูกาล ขณะที่ เดยัน คูลูเซฟสกี้ เจ็บกล้ามเนื้อจากเกมกับ คริสตัล พาเลซ และ เบรนแนน จอห์นสัน ก็เกือบเดี้ยงจากการปะทะกับเพื่อนร่วมทีมอย่าง เซร์คิโอ เรกีลอน ระหว่างซ้อม

ปอสเตโคกลู ถึงกับพูดติดตลกว่า ทีมของเขาอาจต้องพันตัวด้วยสำลีเพื่อให้รอดถึงนัดชิง

ชัยชนะที่ ซาน มาเมส จะทำให้เขาเป็นกุนซือคนแรกที่พา สเปอร์ส คว้าแชมป์ในรอบหลายปี ซึ่งทั้ง โชเซ่ มูรินโญ่, อันโตนิโอ คอนเต้ และ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ต่างทำไม่สำเร็จ


เขาทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

“ผมอาจจะจบที่อันดับ 5 ทั้งปีที่แล้วและปีนี้ก็ได้
แต่ผู้คนจะยังพูดว่า ‘แองจ์ นายทำดีแล้วนะ แต่ยังไม่พอ เพราะ สเปอร์ส ยังไม่มีแชมป์’
ผมรู้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่านี่คือสิ่งที่ผมต้องถูกตัดสินจาก และตอนนี้โอกาสนั้นมาถึงแล้ว”