มันคือภาพสะท้อนสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจที่สุดครั้งหนึ่งในวงการฟุตบอลยุคใหม่… เมื่อ ราฮีม สเตอร์ลิง อดีตนักเตะค่าตัว 47.5 ล้านปอนด์ และเจ้าของค่าเหนื่อยที่สูงที่สุดในสโมสรเชลซี กลับไม่มีชื่อแม้กระทั่งในภาพถ่ายทีมประจำฤดูกาล 2025-26 อย่างเป็นทางการ
นี่คือจุดตกต่ำล่าสุดของสตาร์ดังวัย 30 ปี ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และทีมชาติอังกฤษ แต่ในวันนี้ เขากลับต้องเผชิญกับอนาคตที่ไม่แน่นอน ด้วยการถูกแยกซ้อมเดี่ยวที่ค็อบแฮมไปอีกอย่างน้อย 3 เดือนข้างหน้า
เรื่องราวเริ่มร้อนระอุขึ้นเมื่อ สเตอร์ลิง โพสต์ภาพตัวเองในสนามซ้อมพร้อมแคปชั่น “20.21” เพื่อบอกเป็นนัยว่าเขายังคงซ้อมหนักจนดึกดื่น ก่อนที่สมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (PFA) จะเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อตรวจสอบการปฏิบัติต่อตัวเขาและ อักเซล ดิซาซี่ อีกหนึ่งผู้เล่นที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน สถานการณ์ยิ่งดูตึงเครียดขึ้นไปอีก เมื่อ เอ็นโซ่ มาเรสก้า กุนซือของทีม ออกมาให้สัมภาษณ์ในเชิงเปรียบเทียบความยากลำบากของนักเตะกับพ่อของเขาที่เป็นชาวประมง ซึ่งไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย
แล้วมันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมสถานการณ์ถึงเดินทางมาถึงจุดนี้ได้?
คำตอบนั้นซับซ้อนกว่าที่เห็น เบื้องหลังคือความล้มเหลวในการหาทางออกร่วมกันในช่วงตลาดซื้อขายที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญที่สุดคือ “ค่าใช้จ่าย” ที่มหาศาล ทั้งค่าเหนื่อยที่สูงกว่า 300,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับทุกสโมสรที่สนใจ แม้จะเป็นในรูปแบบการยืมตัวก็ตาม
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือความต้องการของตัว สเตอร์ลิง เอง ที่ต้องการจะปักหลักอยู่ในลอนดอนกับครอบครัวเป็นหลัก เขาไม่ต้องการย้ายครอบครัวไปเยอรมนี แม้จะได้รับความสนใจจาก บาเยิร์น มิวนิค ในช่วงท้ายของตลาดก็ตาม ประสบการณ์ยืมตัวที่ไม่น่าประทับใจกับอาร์เซน่อลในฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งเขาได้ลงเล่นอย่างไม่สม่ำเสมอ ก็เป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่ทำให้เขาต้องคิดหนักในการย้ายทีมครั้งต่อไป
สถานการณ์ในตอนนี้จึงเปรียบเสมือนทางตันที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ เชลซีเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด เพราะได้เปิดโอกาสให้นักเตะย้ายไปอยู่กับสโมสรใหญ่แล้วแต่เขาปฏิเสธ ในขณะที่ สเตอร์ลิง ก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเช่นกัน เพราะไม่มีสโมสรที่ตอบโจทย์เงื่อนไขของเขาอย่างแท้จริงยื่นข้อเสนอเข้ามา
ทางออกที่เป็นไปได้ในเดือนมกราคมก็ยังดูเลือนราง การเจรจายกเลิกสัญญาที่เหลือถึงปี 2027 ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ เมื่อมีเงินค่าเหนื่อยอีกกว่า 30 ล้านปอนด์เป็นเดิมพัน
นี่คือเรื่องราวที่ไม่มีใครเป็น “ผู้ร้าย” หรือ “เหยื่อ” อย่างแท้จริง แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่มีใครเป็น “ผู้ชนะ” เช่นกัน จนกว่าจะได้บทสรุปที่ชัดเจน…ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่