เส้นทางของ เปโดร อคอสต้า หรือเจ้าของฉายา “ฉลามแห่งมาซาร์รอน” (El Tiburón de Mazarrón) เปรียบเสมือนกราฟที่พุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว จากแชมป์โลก Moto3 และ Moto2 ภายในเวลาเพียง 3 ปี สู่การก้าวขึ้นมาเป็นนักบิดความหวังสูงสุดของค่าย KTM ในรุ่นใหญ่
แต่ทว่า ฤดูกาล 2025 ที่เพิ่งจบลง กลับกลายเป็นบททดสอบความอดทนครั้งสำคัญ เมื่อความฝันที่จะท้าชิงชัยชนะกับเหล่า “ปีศาจ Ducati” ต้องสะดุดลงด้วยข้อจำกัดทางเทคนิค
ความจริงที่เจ็บปวดในสนาม
แม้จะจบฤดูกาล 2025 ในอันดับที่ 4 ด้วยคะแนนสะสม 307 แต้ม และคว้ามาได้ถึง 5 โพเดียม แต่นั่นยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ “ฉลามน้อย” ยิ้มได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ปัญหาใหญ่ของ KTM คือ “การยืนระยะ” โดยเฉพาะปัญหาการสึกหรอของยางที่ทำให้อคอสต้าเสียเปรียบในช่วงท้ายเกม ภาพที่ชัดเจนที่สุดคือในสนามสุดท้ายที่บาเลนเซีย เมื่อเขาทำได้เพียงแค่ไล่จ่อท้าย อเล็กซ์ มาร์เกซ จากทีม Gresini แต่ไม่สามารถเร่งแซงได้เพราะจังหวะรถยังเป็นรอง
“ผมให้คะแนนปีนี้แค่ 5 เต็ม 10” อคอสต้ายอมรับอย่างตรงไปตรงมา โดยชี้ว่ารถแข่ง RC16 ยังต้องการความเร็วเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย “ครึ่งวินาที” หากคิดจะไปต่อกรกับ มาร์ค และ อเล็กซ์ มาร์เกซ ที่ฟอร์มร้อนแรงเหลือเกิน
จิตวิญญาณ “ลูกชาวประมง” และคำสอนของตำนาน
สิ่งที่ทำให้อคอสต้าแตกต่าง ไม่ใช่แค่พรสวรรค์ แต่คือ “ทัศนคติ” ที่เติบโตขึ้นอย่างน่าทึ่ง
เขาเปิดเผยว่าแรงบันดาลใจสำคัญมาจากครอบครัวที่มีอาชีพประมง “ผมเรียนรู้ที่จะไม่ยอมแพ้ เพราะในงานประมง ถ้าวันไหนคุณจับปลาไม่ได้ ก็แปลว่าวันนั้นไม่มีข้าวกินที่บ้าน ตัวอย่างจากพ่อแม่ช่วยฉุดรั้งผมไว้ในวันที่ยากลำบากที่สุด”
นอกจากนี้ เขายังได้ ดานี่ เปโดรซ่า ตำนานนักบิดรุ่นพี่มาเป็นที่ปรึกษา “ผมยึดดานี่เป็นแบบอย่าง ประสบการณ์ของเขาจากยุค 2 จังหวะ ช่วยให้ผมมองการแข่งในมุมที่ต่างออกไป เราคุยกันบ่อยมาก”
เดิมพันครั้งใหม่ในปี 2026
หลังจากเห็นคู่แข่งอย่าง Aprilia ยกระดับขึ้นมาได้อย่างน่ากลัว (โดยเฉพาะผลงานของ มาร์โก เบซเซคกี) อคอสต้าจึงส่งสารที่ชัดเจนไปยังโรงงาน KTM ที่ออสเตรีย
“ผมต้องการรถที่เร็วกว่านี้”
นี่คือคำขอสั้นๆ แต่หนักแน่น สำหรับปี 2026 ปีที่จะเป็นตัวตัดสินอนาคตของเขา ว่าจะยังคงเป็น “ฉลามที่ถูกขังในตู้กระจก” หรือจะได้รับเขี้ยวเล็บที่แหลมคมพอจะออกไปล่าเหยื่อเพื่อชิงตำแหน่ง “เจ้าสมุทร” แห่ง MotoGP อย่างแท้จริง
ข้อมูลอ้างอิง: บทสัมภาษณ์จาก Car and Driver และ La Gazzetta dello Sport