ปี 2025 จะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของ โมโตจีพี ไม่ใช่เพียงเพราะเราได้เห็น มาร์ค มาร์เกซ กลับมาทวงบัลลังก์คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 9 (และสมัยที่ 7 ในรุ่นพรีเมียร์คลาส) ได้สำเร็จที่ญี่ปุ่น หรือการที่ อเล็กซ์ มาร์เกซ ก้าวขึ้นมาเป็นรองแชมป์โลกที่สนามเซปัง… แต่มันคือปีที่โลกได้เห็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในวงการกีฬาระดับสูง
“พี่น้องตระกูลมาร์เกซ” ยึดหัวหาดอันดับ 1 และ 2 ของโลก
ความสำเร็จอันน่าเหลือเชื่อนี้ทำให้หนังสือพิมพ์กีฬาชื่อดังอย่าง SPORT ตัดสินใจมอบรางวัลอันทรงเกียรติ “Premio Valores 2025” (รางวัลแห่งคุณค่า) ให้กับทั้งคู่ ไม่ใช่แค่เพราะฝีมือในการบิดคันเร่ง แต่เพราะ “หัวใจ” และวุฒิภาวะในการจัดการกับความขัดแย้งในสนามที่แสนจะเปราะบาง
ลองจินตนาการดูว่า คุณต้องแย่งชิงความเป็นหนึ่งกับคนที่คุณรักที่สุด เลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน… มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรักษาสมดุลระหว่าง “ความกระหายชัยชนะ” กับ “ความรักของพี่น้อง”
มาร์ค มาร์เกซ ผู้ผ่านจุดตกต่ำที่สุดในชีวิตจากอาการบาดเจ็บที่เฆเรซปี 2020 จนกลับมาผงาดอีกครั้ง ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า แม้แชมป์โลกจะหอมหวาน แต่สิ่งที่เขาภูมิใจที่สุดไม่ใช่ถ้วยรางวัลส่วนตัว
“ผมเลือกเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับน้องชายมากกว่าถ้วยแชมป์เสียอีก” มาร์คกล่าว “เพราะมันไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ และยากที่จะเกิดขึ้นอีกที่เราจะได้ขึ้นโพเดียมร่วมกันบ่อยขนาดนี้”
ทางด้าน อเล็กซ์ มาร์เกซ รองแชมป์โลกผู้ถ่อมตน เสริมว่า “ตอนแข่งเราอาจไม่ทันได้ซึมซับมัน แต่ผมเชื่อว่าวันที่เราทั้งคู่แขวนหมวกกันน็อค แล้วมานั่งดูเทปการแข่งขันย้อนหลังบนโซฟาที่บ้าน เราจะเข้าใจว่าสิ่งที่ทำร่วมกันมันยิ่งใหญ่แค่ไหน”
“สัญญาใจลูกผู้ชาย” จุดที่น่าประทับใจที่สุดคือเบื้องหลังก่อนเปิดฤดูกาล มาร์คเล่าว่าที่สนามไทย เขารู้สึกได้ทันทีว่าคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดปีนี้คือน้องชายตัวเอง เขาจึงเดินไปจับมือกับอเล็กซ์และสร้าง “ข้อตกลง” ร่วมกัน
“เราตกลงกันว่า ถ้าต้องแซง เราจะแซง ถ้าต้องปะทะ ก็คือปะทะ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะยังเป็นพี่น้องและรักกันเหมือนเดิม”
อเล็กซ์ยืนยันคำนั้น “เราสัญญากันว่า ถ้าเราล้มทั้งคู่ คนหนึ่งแค่ด่าอีกคนว่า ‘ทำบ้าอะไรวะ’ แล้วก็จบกันแค่นั้น”
ปี 2025 ที่ดูเหมือนจะเป็นปีแห่งการแข่งขัน กลับกลายเป็นปีที่ทำให้พวกเขาสนิทกันและรักกันมากกว่าเดิม พวกเขาซ้อมด้วยกันหนักขึ้น ช่วยเหลือกันมากขึ้น และในปี 2026 ที่กำลังจะมาถึง ทั้งคู่จะได้ขี่รถ Ducati สเปกโรงงานเหมือนกัน บทบาทอาจจะสลับกันก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนคือ… “ทุกอย่างยังคงเป็นเรื่องของครอบครัว”