เรื่องราวน่าทึ่งนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เมื่อผู้เขียนกำลังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ “ออดี้” บนเว็บไซต์ทางการของสโมสร บาเยิร์น มิวนิค เพื่อประกอบบทความหนึ่ง แล้วกลับไปเจอบทความชื่อว่า “เมื่อ เปเล่ เกือบได้กลายเป็นนักเตะของทีมเสื้อแดง” ที่ถูกตีพิมพ์ในนิตยสารภายในของสโมสรชื่อ 51
นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจ เพราะแม้แต่แฟนบอลสายลึกของ บาเยิร์น มิวนิค เองก็อาจไม่รู้ว่าในบรรดาดีลที่เกือบเกิดขึ้นมากมายในประวัติศาสตร์ของสโมสร หนึ่งในนั้นคือการเกือบคว้าตัวนักเตะระดับตำนานอย่าง เปเล่ ที่เพิ่งโชว์ฟอร์มโดดเด่นในศึกฟุตบอลโลก
เปเล่ เคยให้สัมภาษณ์ในปี 2012 กับรายการ Sky90 ว่าในช่วงที่ค้าแข้งกับ ซานโตส มีหลายสโมสรระดับท็อปของยุโรปยื่นข้อเสนอเข้ามา ทั้ง เรอัล มาดริด, เอซี มิลาน, ยูเวนตุส และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่เขากลับให้ความสำคัญกับ บาเยิร์น มิวนิค มากที่สุด
เขามีความรู้สึกผูกพันกับทีมจากแคว้นบาวาเรีย โดยทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากความพยายามของชายคนหนึ่ง
บุคคลผู้อยู่เบื้องหลังความพยายามดึงตัว เปเล่ คือ โรลันด์ เอนด์เลอร์
โรลันด์ เอนด์เลอร์ อดีตประธานสโมสรระหว่างปี 1958–1962 เป็นคนที่หลงใหลในฟุตบอลบราซิล หลังทีมชาติบราซิลคว้าแชมป์โลกปี 1958 เขาเริ่มสนใจที่จะพา เปเล่ วัยเพียง 17 ปีในขณะนั้น มาค้าแข้งในเยอรมนี
บาร์บารา เกิตเต้ ลูกสาวของ เอนด์เลอร์ เคยเล่าว่า พ่อของเธอถึงขั้นหัดพูดภาษาโปรตุเกสทุกคืน เพื่อเพิ่มโอกาสในการโน้มน้าวให้ เปเล่ ย้ายทีม
ในปี 1959 เอนด์เลอร์ เดินทางไปยังบราซิลพร้อมกับรองประธานสโมสร ดร.คาร์ล วัคเทล โดยมีเป้าหมายเดียวกัน คือพา เปเล่ มาทัวร์เยอรมนี เพื่อดูว่าเจ้าตัวสามารถจินตนาการถึงชีวิตในเมืองมิวนิคได้หรือไม่
แม้ เปเล่ จะเพลิดเพลินกับการเดินทางครั้งนั้น แต่ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่า ตัวเองรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ในบ้านเกิด และหากต้องจากบ้านนาน ๆ จะรู้สึกคิดถึงบ้านอย่างมาก นอกจากนี้ ซานโตส เองก็ไม่ต้องการปล่อยนักเตะระดับนี้ไปไหน ทำให้การเจรจาซื้อขายแทบไม่มีทางเป็นไปได้
แม้การย้ายทีมจะไม่เกิดขึ้น แต่ เอนด์เลอร์ ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทของ เปเล่ ทั้งคู่ยังคงติดต่อกันเรื่อยมา โดยอดีตประธาน เสือใต้ ยังเคยเชิญ เปเล่ มาร่วมฉลองฮันนีมูนของเขาที่เยอรมนี หลังแต่งงานครั้งแรกอีกด้วย
ความพยายามครั้งสุดท้ายที่จะคว้าตัว เปเล่ มายังถิ่น เรคอร์ดไมสเตอร์ จึงต้องจบลงอย่างน่าเสียดาย
เอนด์เลอร์ ต่อมาได้รับเกียรติเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ทั้งของสโมสร บาเยิร์น มิวนิค และสมาคมฟุตบอลบราซิล ผ่านความสัมพันธ์ของเขา ทำให้สโมสรจากบราซิลเริ่มมีโอกาสมาโชว์ฝีเท้าในยุโรป
เช่น โครินเธียนส์ ในปี 1959, บาเฮีย ในปี 1960 และ ซานโตส ในปี 1961 (แม้ เปเล่ จะไม่ได้ร่วมเดินทาง เพราะบาดเจ็บที่หัวไหล่)
แม้จะไม่มี เปเล่ และจบเกมด้วยความพ่ายแพ้ 2-3 แต่เกมดังกล่าวก็กลายเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ถึงขั้นมีรายงานลงหนังสือพิมพ์ถึง 4 หน้าในวันถัดมา
เปเล่ กลับมาเยือน มิวนิค อีกครั้งในปี 1967 โดยครั้งนั้น 1860 มิวนิค ทีมคู่ปรับของ บาเยิร์น ได้แข่งขันกับทีมบราซิลและจบลงด้วยสกอร์ 4-5 ที่สนาม กรีนวัลเดอร์ สตาดิโอน
ในช่วงนี้ยังมีความพยายามครั้งสุดท้ายในการนำ เปเล่ มาค้าแข้งใน บุนเดสลีกา โดยมี โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค เป็นตัวเลือกที่ดูมีความเป็นไปได้ ขณะที่ โคโลญจน์ ก็สอบถามความเป็นไปได้อยู่เช่นกัน
ในเวลาต่อมา เปเล่ พาทีมชาติบราซิลคว้าแชมป์โลกเพิ่มอีก 2 สมัย ในปี 1962 และ 1970 พร้อมกับสร้างชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ลูกหนัง ก่อนแขวนสตั๊ดในปี 1977