7msport

เวย์น รูนี่ย์ เปิดใจครั้งประวัติศาสตร์: “ถ้าไม่มีคอลีน ผมคงตายไปแล้ว”

เวย์น รูนี่ย์ ตำนานดาวยิงทีมชาติอังกฤษและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ออกมาเปิดใจอย่างหมดเปลือกถึงช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดในชีวิต โดยยอมรับว่าเขาเคยต่อสู้กับปัญหาการติดสุราอย่างหนัก และยกเครดิตให้ คอลีน ภรรยาคู่ชีวิต ว่าเป็นผู้ที่ช่วยฉุดเขาขึ้นมาจากเหว หากไม่มีเธอ เขาอาจไม่มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้

ในการให้สัมภาษณ์กับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ อดีตเพื่อนร่วมทีมปีศาจแดง ผ่านรายการพอดแคสต์ “Rio Ferdinand Presents” รูนี่ย์ในวัย 39 ปี ได้เล่าย้อนถึงพฤติกรรมในอดีตที่เขาต้องใช้ยาหยอดตาและเคี้ยวหมากฝรั่งเพื่อปกปิดอาการเมาค้างก่อนไปซ้อม หลังจากดื่มหนักติดต่อกันถึง 2 วันเต็ม

เบื้องหลังดาวซัลโว: ดื่มหนัก 2 วันติดและยาหยอดตา

“ผมเคยมีช่วงเวลาในชีวิตที่ต่อสู้กับปัญหาแอลกอฮอล์อย่างหนักหนาสาหัส” รูนี่ย์กล่าว “ผมไม่ได้คิดจะหันหน้าไปพึ่งใคร เพราะไม่อยากเอาภาระไปให้คนอื่น ผมจำได้ว่าต้องหยอดตาก่อนไปซ้อม เคี้ยวหมากฝรั่งตลอดเวลา ผมแค่ดื่มอย่างเดียวติดต่อกัน 2 วัน พอถึงวันซ้อมและสุดสัปดาห์ ผมก็ลงไปยิงได้ 2 ประตู แล้วก็กลับไปดื่มหนักอีก 2 วัน เป็นแบบนั้นซ้ำๆ”

“คอลีน” ผู้หญิงที่ช่วยชีวิตผม

เมื่อเฟอร์ดินานด์ถามว่าใครคือคนที่ช่วยให้เขาผ่านพ้นปัญหานั้นมาได้ รูนี่ย์ตอบโดยไม่ลังเลว่าคือภรรยาของเขา “คอลีนช่วยผมไว้มหาศาลมาก” เขากล่าว “ผมเชื่อว่าถ้าไม่มีเธอ ผมคงตายไปแล้ว… บางครั้งผมก็รำคาญเธอนะ แบบว่า ‘คุณจะทำอะไรนักหนา?’ แต่ทุกสิ่งที่เธอทำก็เพื่อรั้งให้ผมยังมีชีวิตอยู่ ผมเคยทำผิดพลาดมามากมายซึ่งทุกคนก็รู้ดี แต่เธอนี่แหละที่คอยดึงผมให้อยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องมาตลอดยี่สิบกว่าปี”

“เราเป็นแค่เด็กสองคนจากคร็อกซ์เทธ (ย่านในลิเวอร์พูล) ที่เติบโตมาด้วยกัน เธอรู้จักความคิดของผมดีตั้งแต่ผมอายุ 17 เธอเห็นแต่เนิ่นๆ ว่าผมมีด้านที่หลุดโลกอยู่บ้าง และเธอก็ช่วยควบคุมมันได้อย่างมหาศาล”

ความไม่มั่นคงที่ซ่อนไว้และบาดแผลที่ไม่เคยลืม

นอกจากการต่อสู้กับสุรา รูนี่ย์ยังเปิดเผยถึงความไม่มั่นคงในรูปลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเก็บงำมาตลอดอาชีพค้าแข้ง และมีเรื่องราวฝังใจที่พิธีกรชื่อดัง โจนาธาน รอสส์ เคยล้อเลียนภาพของเขาและครอบครัว ซึ่งยังคงสร้างความเจ็บปวดให้เขาจนถึงทุกวันนี้

“จริงๆ แล้วผมไม่มั่นคงในตัวเองหลายเรื่องมาก ทั้งเรื่องน้ำหนักตัว หรือเรื่องหน้าตาตอนนี้ มีแค่คอลีนที่รู้ ถ้าคุณเห็นผมที่ชายหาดสัปดาห์หน้า ผมจะใส่ทั้งเสื้อยืดและหมวก”

“มันมีเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน (ในปี 2003) โจนาธาน รอสส์ เอารูปผม พ่อ และแม่ ที่กำลังเดินขึ้นจากทะเลมาล้อ ผมยังคงคิดถึงเรื่องนั้นอยู่เลย เพราะผมรู้สึกว่า… คุณจะพูดอะไรเกี่ยวกับผมก็ได้ แต่ทำไมคุณต้องมาโจมตีพ่อแม่ของผมด้วย?”

บนเส้นทางกุนซือที่ไม่เคยง่าย

รูนี่ย์ยังได้พูดถึงเส้นทางอาชีพผู้จัดการทีมที่ผ่านมาของเขา ซึ่งไม่เคยประสบความสำเร็จยาวนานนักกับทั้ง ดาร์บี้ เคาน์ตี้, ดีซี ยูไนเต็ด, เบอร์มิงแฮม ซิตี้ และ พลีมัธ อาร์ไกล์ “ผมคิดว่าผมเลือกรับงานที่ยากมากๆ” เขากล่าว “ตอนอยู่ดาร์บี้ สโมสรก็โดนควบคุมกิจการ พอไปคุมดีซี ยูไนเต็ด ที่อเมริกา คนมองว่าล้มเหลว แต่จริงๆ แล้วทีมจบอันดับสุดท้ายมา 3 ปีก่อนผมไป และเราก็พลาดเพลย์ออฟไปแค่คะแนนเดียว พอกลับมาเบอร์มิงแฮม มันคือหายนะตั้งแต่วันแรก ผมจำได้ว่าเดินลงสนามเกมแรก แฟนบอลตะโกนไล่ผม ‘กลับอเมริกาไปเลยไอ้อ้วน’ ให้โอกาสผมหน่อยสิ”

การเปิดใจครั้งนี้ของ เวย์น รูนี่ย์ ได้เผยให้เห็นถึงอีกด้านที่เปราะบางของตำนานนักเตะที่แฟนบอลคุ้นเคยกับภาพลักษณ์ของความแข็งแกร่งและดุดันในสนาม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความสำเร็จและชื่อเสียงของเขา