แม้จะยอมรับความพ่ายแพ้ในการลุ้นแชมป์โลกโมโตจีพีกับ มาร์ค มาร์เกซ พี่ชายของเขาไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่า อเล็กซ์ มาร์เกซ จะปรับเปลี่ยนเป้าหมายและสภาพจิตใจได้อย่างรวดเร็ว โดยบัดนี้เขาได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าการต่อสู้ครั้งใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นั่นคือการป้องกันตำแหน่ง “รองแชมป์โลก” จากการไล่ล่าของ ฟรานเชสโก้ “เป็กโก้” บันยาญ่า ที่ฟอร์มกำลังร้อนแรง
หลังจากจบการแข่งขันสปรินท์เรซที่ญี่ปุ่น (27 กันยายน 2025) ด้วยอันดับ 10 และไม่มีคะแนนติดมือ สวนทางกับ บันยาญ่า ที่คว้าชัยชนะและเก็บไป 12 คะแนนเต็ม ทำให้อันดับสองในตารางคะแนนสะสมกลับมาทวีความเข้มข้นอีกครั้ง
โฟกัสที่ตัวเอง ไม่ใช่คู่แข่ง
เมื่อถูกถามถึงฟอร์มที่ยอดเยี่ยมของบันยาญ่า อเล็กซ์ มาร์เกซ ได้แสดงทัศนคติที่แน่วแน่ว่าเขาจะไม่ยอมให้คู่แข่งมามีผลต่อสมาธิของตัวเอง
“นั่นเป็นสิ่งที่เราไม่จำเป็นต้องไปกังวลหรือวอกแวกกับมันเลย” อเล็กซ์กล่าว “ท้ายที่สุดแล้ว เราต้องมีสมาธิอยู่กับตัวเอง เราเร็วมาตลอดตั้งแต่ต้นฤดูกาลจนถึงตอนนี้ เรารู้ดีว่าเมื่อเราทำงานได้ถูกต้องและทุกอย่างเข้าที่ เราก็พร้อมที่จะสู้กับพวกเขาได้ เราต้องใจเย็นเข้าไว้”
เจาะลึกปัญหา: จากอุปกรณ์สตาร์ทถึงอุณหภูมิยาง
อเล็กซ์ได้อธิบายเพิ่มเติมถึงปัญหาที่เขาต้องเผชิญในสปรินท์เรซ “ผมออกสตาร์ทได้ดี แต่มีปัญหากับอุปกรณ์ปรับระดับหน้ารถ ผมปลดล็อกมันไม่ได้จนถึงโค้งที่ 5 ซึ่งมันเป็นความผิดของผมเอง เพราะเมื่อมีรถคันอื่นอยู่ข้างหน้า คุณจะไม่สามารถเบรกได้อย่างที่ควรจะเป็นเพื่อปลดล็อกมัน”
“หลังจากวันศุกร์ที่เลวร้าย ผมไม่เคยมีความรู้สึกที่ดีเลย และมันยิ่งแย่ลงเมื่อต้องขับในกลุ่ม อุณหภูมิยางหน้ามันสูงขึ้นกว่าตอนซ้อมคนเดียว 20-25 องศา มันทำให้ทุกอย่างยากขึ้นมาก แต่ทุกคนก็เจอปัญหานี้เหมือนกัน เราแค่ต้องปรับตัวให้ดีกว่านี้”
“โมเตกิ” อาถรรพ์ที่ต้องก้าวข้าม
นักบิดจากทีม Gresini ยอมรับว่าสนามโมเตกิเป็นสนามปราบเซียนสำหรับเขามาโดยตลอด “ผมพลาดการแข่งขันที่นี่กับที่อินโดนีเซียในปี 2023 และปีที่แล้วผมก็เจอปัญหาที่นี่เช่นกัน ดังนั้นเราต้องอดทนและพยายามกอบกู้สุดสัปดาห์นี้ให้ได้ด้วยคะแนนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นค่อยไปเริ่มต้นใหม่ที่อินโดนีเซียด้วยความเข้มข้นที่มากขึ้น”
การปรับเปลี่ยนเป้าหมายอย่างรวดเร็วของ อเล็กซ์ มาร์เกซ แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพ แม้จะผิดหวังจากการชวดแชมป์โลก แต่การต่อสู้เพื่อตำแหน่งรองแชมป์โลกกับแชมป์เก่าอย่าง เป็กโก้ บันยาญ่า ก็ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่น่าติดตามไม่แพ้กัน