7msport

ฟลอเรียน เวียร์ทซ: ย้ายซบลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 100 ล้านปอนด์ เขาจะอยู่อันดับไหนในทำเนียบนักเตะที่แพงที่สุด?

วงการฟุตบอลต้องจารึกสถิติใหม่อีกครั้ง เมื่อมีรายงานว่า “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ได้บรรลุข้อตกลงในการคว้าตัว ฟลอเรียน เวียร์ทซ เพลย์เมกเกอร์อนาคตไกลทีมชาติเยอรมนีจาก “ห้างขายยา” ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ด้วยค่าตัวเบื้องต้นมหาศาลถึง 100 ล้านปอนด์ 

การย้ายทีมครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ เวียร์ทซ ในวัย 22 ปี กลายเป็นนักเตะคนที่ 10 ของโลกที่มีค่าตัวแตะหลักร้อยล้านปอนด์ แต่ยังเตรียมสร้างประวัติศาสตร์อีกหลายหน้า ไม่ว่าจะเป็น:

  • นักเตะค่าตัวแพงที่สุดของสโมสรลิเวอร์พูล ทำลายสถิติเดิมของ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ที่ 75 ล้านปอนด์
  • นักฟุตบอลชาวเยอรมันที่มีค่าตัวแพงที่สุดตลอดกาล
  • การขายนักเตะที่ได้ราคาสูงที่สุดของสโมสรในบุนเดสลีกา

ยิ่งไปกว่านั้น ข้อตกลงนี้ยังมีเงื่อนไขเพิ่มเติม (add-ons) ที่อาจทำให้ค่าตัวของเขาสูงขึ้นไปถึง 116 ล้านปอนด์ เลยทีเดียว

ทะยานสู่ทำเนียบนักเตะค่าตัว 100 ล้านปอนด์

การย้ายตัวของ เวียร์ทซ ทำให้เขาก้าวเข้าสู่กลุ่มนักเตะค่าตัวมหาศาลเคียงบ่าเคียงไหล่กับดาวดังมากมายในพรีเมียร์ลีก แม้ค่าตัวเบื้องต้นของเขาจะยังเป็นรองสถิติสูงสุดของเกาะอังกฤษอย่าง เอ็นโซ เฟร์นันเดซ ที่เชลซีจ่ายให้เบนฟิก้า 107 ล้านปอนด์ แต่ก็เทียบเท่ากับดีลใหญ่อื่นๆ เช่น:

  • มอยเซส ไกเซโด (ไบรท์ตัน ไป เชลซี): 100 ล้านปอนด์ (อาจเพิ่มเป็น 115 ล้านปอนด์)
  • เดแคลน ไรซ์ (เวสต์แฮม ไป อาร์เซนอล): 100 ล้านปอนด์ (อาจเพิ่มเป็น 105 ล้านปอนด์)
  • แจ็ค กรีลิช (แอสตัน วิลล่า ไป แมนฯ ซิตี้): 100 ล้านปอนด์

อย่างไรก็ตาม สถิติค่าตัวแพงที่สุดในโลกยังคงเป็นของ เนย์มาร์ ที่ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง จ่ายให้บาร์เซโลน่าแบบช็อกโลกที่ 200 ล้านปอนด์ในปี 2017 ซึ่งค่าตัวของ เวียร์ทซ คิดเป็นครึ่งหนึ่งของสถิติดังกล่าวพอดี

เจาะลึกสถิติค่าตัวแพงที่สุดในแต่ละตำแหน่ง

การมาของ เวียร์ทซ ทำให้เราต้องกลับมาดูทำเนียบนักเตะค่าตัวสูงสุดในแต่ละตำแหน่งอีกครั้ง:

  • ผู้รักษาประตู: เกปา อาร์ริซาบาลากา (เชลซี) – 71 ล้านปอนด์
  • กองหลัง: แฮร์รี่ แม็กไกวร์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) – 80 ล้านปอนด์
  • กองกลาง: เอ็นโซ เฟร์นันเดซ (เชลซี) – 107 ล้านปอนด์
  • กองหน้า: เนย์มาร์ (ปารีส แซงต์-แชร์กแมง) – 200 ล้านปอนด์

การลงทุนครั้งประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูลในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานในการกลับมาทวงความสำเร็จ และเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังคู่แข่งทั่วทั้งยุโรปว่า “หงส์แดง” พร้อมแล้วสำหรับความท้าทายครั้งใหม่ในฤดูกาลหน้า