7msport

พบกับ “ไอบิส” ทีมฟุตบอลที่ห่วยที่สุดในโลก… และตำนานช่างตัดผมซูเปอร์สตาร์ของพวกเขา

ในห้องแต่งตัวที่อับชื้นใต้สนามฟุตบอลเทศบาลใกล้เมืองเรซีเฟ่ ประเทศบราซิล แสงไฟกระพริบอย่างอ่อนแรง เสียงน้ำหยดลงบนพื้นคอนกรีตเป็นจังหวะ นี่คือบ้านของ “ไอบิส สปอร์ต คลับ” สโมสรที่ไม่ได้มีชื่อเสียงเพราะความสำเร็จ แต่โด่งดังไปทั่วโลกด้วยเหตุผลตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง… พวกเขาคือ “ทีมฟุตบอลที่ห่วยที่สุดในโลก”

นี่ไม่ใช่คำดูถูก แต่คือ “ตราสินค้า” ที่สโมสรยอมรับและปักไว้บนคอเสื้อแข่งอย่างภาคภูมิใจ มาสคอตของพวกเขามีชื่อว่า “Derrotinha” หรือ “น้องแพ้” เรื่องราวของพวกเขาเต็มไปด้วยโศกนาฏกรรมในสนามที่ชวนหัวเราะ ทั้งการพ่ายแพ้ 10 ประตู, ลูกฟุตบอลแบน หรือแม้กระทั่งการมีแพะวิ่งไล่นักเตะ

จุดกำเนิดของตำนานนี้เกิดขึ้นในช่วงระหว่างปี 1980 ถึง 1984 ไอบิสสร้างสถิติไม่ชนะใครเลยเป็นเวลาเกือบ 4 ปีเต็ม (1,428 วัน) จากการลงเล่น 55 นัด พวกเขาแพ้ไปถึง 48 นัด และมีผลต่างประตูได้เสียติดลบ 206 ลูก! สถิติอันน่าสังเวชนี้ไม่ได้ทำให้พวกเขาท้อแท้ แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการยอมรับในตัวตน และเปลี่ยนความอัปยศให้กลายเป็นอัตลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือน

โอซีร์ รามอส จูเนียร์ ประธานสโมสรผู้สืบทอดทีมต่อจากปู่และพ่อของเขา ซึ่งเคยเป็นนักเตะในยุคไร้ชัยชนะนั้น เล่าว่า “ตอนนั้นมันเป็นเรื่องปกติสำหรับเรา เราทุกคนทำงานกลางวันกันหมด มีทั้งทนาย, บุรุษไปรษณีย์, ตำรวจ เราซ้อมกันตามสวนสาธารณะ บางทีก็ที่ชายหาด เราแพ้, เสมอ, แพ้, แพ้… แต่มันทำให้เรามีชื่อเสียงไปทั่วโลก ถ้าไม่มีสถิตินั้น คุณก็คงไม่ได้มาที่นี่ในวันนี้”

แต่สัญลักษณ์ที่แท้จริงของความพ่ายแพ้อันงดงามนี้ ไม่ใช่สถิติ แต่คือบุรุษผู้เป็นตำนานที่ชื่อ เมาโร แชมพู

ณ ร้านตัดผมเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในย่านเมืองเรซีเฟ่ ที่นี่คือ “วิหารศักดิ์สิทธิ์” ของเมาโร แชมพู นักฟุตบอลที่โด่งดังที่สุดที่คุณอาจไม่เคยได้ยินชื่อ เขาคือผู้เล่นหมายเลข 10 ของทีมที่ห่วยที่สุดในโลก มีอาชีพหลักเป็นช่างตัดผม และตลอด 9 ปีที่ค้าแข้งกับไอบิส เขายิงได้เพียง “ประตูเดียว” เท่านั้น!

“ผมอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพจริงๆ” แชมพูในวัย 68 ปี เล่าด้วยแววตาที่เจือความเศร้า “หมายถึงการได้รับเงินเดือนน่ะ ผมไม่เคยได้อะไรเลย มันเจ็บปวดนะ ชีวิตของผมคือการต่อสู้ที่ไม่เคยหยุดหย่อน ทั้งชีวิตผมมีแต่คำว่าแพ้”

ชีวิตวัยเด็กของเขาคือความยากลำบาก เขาเคยเป็นเด็กเร่ร่อน นอนข้างถนน ขัดรองเท้าและกินเศษอาหาร แต่ฟุตบอลคือเชือกที่ดึงเขาขึ้นมา แม้จะไม่เคยประสบความสำเร็จในแง่ของเงินทอง แต่บุคลิกที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาและทรงผมหยิกฟูอันเป็นเอกลักษณ์ ก็ทำให้เขากลายเป็นคนดังโดยไม่รู้ตัว

แล้วประตูเดียวในตำนานของเขาล่ะ? “มันเป็นเกมที่เจอกับเฟอร์โรวิอาริโอ” เขาเล่าอย่างมีอรรถรส “เราโดนบุกหนัก แต่ก็ได้สวนกลับ เพื่อนร่วมทีมยิงไปติดเซฟผู้รักษาประตู บอลกระดอนมาเข้าทางผมตรงจุดโทษ ผมซัดเข้าไปแล้วก็ตะโกนลั่น ‘โชว์! โชว์! โชว์! กุยิงเข้าแล้วโว้ย! โชว์!'”

“แต่คุณรู้อะไรไหม?” เขายิ้ม “ไม่มีใครเห็นประตูนั้นเลย ไม่มีแม้แต่รูปถ่าย แถมสุดท้าย… เราแพ้ไป 8-1 เราก็ยังแพ้อยู่ดี”

นั่นคือเรื่องราวของไอบิสโดยแท้จริง ในยุคที่ฟุตบอลถูกขับเคลื่อนด้วยเงินและความสำเร็จ ไอบิสและเมาโร แชมพู คือเครื่องเตือนใจอันงดงามว่าหัวใจของเกมลูกหนังนั้นคือความรัก, คือเรื่องราว, คือการยอมรับในตัวตน และคือความสุขที่หาได้แม้ในวันที่พ่ายแพ้ยับเยินที่สุดก็ตาม