ประเด็นร้อนระอุขึ้นมาทันทีในวงการ MotoGP หลังจบศึกสปรินท์เรซที่แอสเซน เมื่อคำถามสำคัญถูกตั้งขึ้นมาว่า “อเล็กซ์ มาร์เกซ ออมมือให้กับพี่ชาย มาร์ค มาร์เกซ หรือไม่?” แม้จะไม่มีใครสามารถยืนยันได้ 100% แต่เมื่อพิจารณาจากสไตล์การขับขี่ที่แตกต่างไปจากเดิมของเขา ก็ทำให้เกิดข้อถกเถียงขึ้นอย่างกว้างขวาง
ชนวนเหตุของดราม่าครั้งนี้เกิดขึ้นในศึกสปรินท์เรซที่ดัตช์ กรังด์ปรีซ์ ซึ่ง มาร์ค มาร์เกซ คว้าชัยชนะไปครองเป็นครั้งที่ 9 ในฤดูกาลนี้ โดยมี อเล็กซ์ ตามเข้ามาในอันดับที่ 2 ตลอดการแข่งขัน หลายฝ่ายมองว่า อเล็กซ์ ซึ่งอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยมและมีความเร็วที่เหนือกว่าในบางช่วง กลับไม่พยายามที่จะแซงพี่ชายของตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่ปกติแล้วเขาขึ้นชื่อเรื่องสไตล์การขับขี่ที่ดุดันและพร้อมปะทะกับทุกคนในสนาม
ข้อเท็จจริงหรือแค่การคาดเดา?
เมื่อมองในแง่หนึ่ง การจะบอกว่า อเล็กซ์ “ปล่อย” ให้พี่ชายชนะอาจจะไม่ยุติธรรมนัก เนื่องจากสนามแอสเซนเป็นสนามที่แคบและมีความเร็วสูง ทำให้การหาจังหวะแซงเป็นเรื่องยาก อีกทั้ง มาร์ค มาร์เกซ ก็มีความเร็วที่เหนือกว่าในจุดที่สามารถถูกโจมตีได้ ทำให้การเข้าแซงมีความเสี่ยงสูง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสังเกตคือความแตกต่างในการขับขี่ของอเล็กซ์อย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับการต่อสู้กับนักบิดคนอื่นๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นักบิดกว่าครึ่งตารางเคยออกมาบ่นถึงสไตล์การขับขี่ที่ “ถึงลูกถึงคน” ของเขา แต่เมื่อต้องมาอยู่หลังพี่ชายตัวเอง เขากลับดูสุขุมและระมัดระวังเป็นพิเศษ ซึ่งแตกต่างจากความดุดันที่เขาแสดงออกมาในการต่อสู้กับ เปโดร อคอสต้า ในกรังด์ปรีซ์เดียวกันอย่างสิ้นเชิง
คำให้สัมภาษณ์ที่ยิ่งเพิ่มความร้อนแรง
หลังการแข่งขัน คำให้สัมภาษณ์ของสองพี่น้องยิ่งทำให้สถานการณ์น่าสนใจมากขึ้น อเล็กซ์กล่าวว่า “ผมไม่สนว่าคนอื่นจะคิดยังไง ด้วยกลยุทธ์นี้แหละที่ทำให้ผมเป็นรองจ่าฝูง” การใช้คำว่า “กลยุทธ์” ของเขาทำให้หลายคนตีความไปว่ามันอาจมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า
ขณะที่มาร์คพยายามปกป้องน้องชายโดยกล่าวว่า “คนพวกนั้นที่บอกว่าเขาจงใจไม่แซงผม ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ MotoGP เลย” แต่คำพูดนี้ก็ถูกโต้กลับทันที เมื่อ โฆอัน เมียร์ แชมป์โลก 2 สมัย ก็เป็นหนึ่งในคนที่ออกมาตั้งคำถามถึงเรื่องนี้เช่นกัน
คงเป็นการไม่ยุติธรรมที่จะกล่าวหาว่า อเล็กซ์ มาร์เกซ จงใจปล่อยให้พี่ชายชนะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า เขามีความดุดันน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อต้องต่อสู้กับพี่ชายของตัวเอง ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่มาร์คกล่าวอ้าง และมันคือประเด็นที่แฟนความเร็วทั่วโลกจะยังคงจับตามองต่อไปในการแข่งขันที่เหลือของฤดูกาล