เหตุการณ์ “สปายเกต” ระหว่าง ดาร์บี้ เคาน์ตี้ และ ลีดส์ ยูไนเต็ด ยังคงเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของศึก อีเอฟแอล แชมเปียนชิป โดยเฉพาะในฤดูกาล 2018/19 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสูงสุดของ “แกะเขาเหล็ก” ยุคใหม่ แม้สุดท้ายจะต้องอกหักในรอบชิงชนะเลิศที่สนาม เวมบลีย์ สเตเดียม หลังพ่ายให้กับ แอสตัน วิลลา
ในซีซั่นนั้น แฟรงค์ แลมพาร์ด เข้ามาคุมทีมและพา ดาร์บี้ เคาน์ตี้ กลับมามีลุ้นเลื่อนชั้นอีกครั้ง หลังจากทีมเคยพลาดโอกาสในปี 2014 ต่อ ควีนส์ปาร์ก เรนเจอร์ส จากประตูชัยของ บ็อบบี ซาโมรา การกลับมาเวมบลีย์ครั้งนี้จึงเต็มไปด้วยความหวัง ทว่าก็จบลงด้วยความเจ็บปวดเมื่อพ่าย 2-1 ต่อ แอสตัน วิลลา
อย่างไรก็ตาม ฤดูกาลนั้นของ ดาร์บี้ เต็มไปด้วยสีสัน พวกเขามีดาวรุ่งยืมตัวจาก เชลซี อย่าง เมสัน เมาท์ และ ฟิกาโย โทโมรี รวมถึงจอมทัพชาวเวลส์ แฮร์รี วิลสัน ที่โชว์ฟอร์มได้โดดเด่น ร่วมกับแข้งมากประสบการณ์อย่าง เคร็ก ไบรสัน, ทอม ลอว์เรนซ์, แจ็ค มาร์ริออตต์ และ มาร์ติน แวกฮอร์น ทำให้ทีมมีพลังทั้งหนุ่มและเก๋าในเวลาเดียวกัน
ฝั่ง ลีดส์ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของ มาร์เซโล บิเอลซา กำลังเป็นทีมจอมพลังแห่งยุค และจบฤดูกาลด้วยอันดับเหนือกว่า ดาร์บี้ ถึงเก้าคะแนน แต่พวกเขากลับพลาดเลื่อนชั้นอัตโนมัติ และต้องมาเจอกันอีกครั้งในรอบเพลย์ออฟ ซึ่งกลายเป็นเกมที่แฟนบอลทั่วโลกยังจดจำ
ก่อนเกมลีกเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2019 เกิดเหตุการณ์สุดช็อก เมื่อมีรายงานว่า บิเอลซา ส่งสายลับไปแอบดูการซ้อมของ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ก่อนโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญออกจากพื้นที่ เหตุการณ์นี้ถูกสื่อขนานนามว่า “สปายเกต” และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แม้วันนั้น ลีดส์ ยูไนเต็ด จะเอาชนะไป 2-0 ก็ตาม
หลังเกม บิเอลซา ได้ออกมาเปิดเผยในงานแถลงข่าวใหญ่ ว่าเขาแอบสังเกตการซ้อมของคู่แข่งทุกทีมในแชมเปียนชิป ทำให้ สมาคมฟุตบอลลีกอังกฤษ (EFL) ลงโทษปรับเงินสโมสร ลีดส์ ยูไนเต็ด เป็นจำนวน 200,000 ปอนด์ เหตุการณ์นี้ยิ่งเติมเชื้อไฟความแค้นระหว่างสองทีม ก่อนทั้งคู่จะได้เจอกันอีกครั้งในรอบรองชนะเลิศเพลย์ออฟเดือนพฤษภาคม
เกมเลกแรกที่สนาม ไพรด์พาร์ก สเตเดียม ลีดส์ บุกมาชนะไปก่อน แต่ในเลกสองที่ เอลแลนด์ โร้ด กลับกลายเป็นตำนาน เมื่อ สจ๊วร์ต ดัลลาส ยิงให้เจ้าบ้านนำก่อนรวมสองนัด 2-0 ทว่าหลังจากนั้น ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ระเบิดฟอร์มยิงคืนสามประตูในเวลาเพียง 13 นาที จาก แจ็ค มาร์ริออตต์, เมสัน เมาท์ และ แฮร์รี วิลสัน
แม้ ดัลลาส จะมายิงตีเสมออีกครั้ง แต่ มาร์ริออตต์ ก็มาซัดประตูชัยในนาทีที่ 85 ส่งให้ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ พลิกเข้าชิงแบบสุดเหลือเชื่อ ท่ามกลางความดีใจของแฟนบอลที่เดินทางไปถึงยอร์กเชียร์
ฌอน วูดเวิร์ด นักวิเคราะห์ของเว็บไซต์ Football League World ซึ่งเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ ดาร์บี้ กล่าวว่า เหตุการณ์วันนั้น “แปลกประหลาดและน่าจดจำ” เพราะมันแสดงให้เห็นว่า “เราทำให้ บิเอลซา หวั่นจริง ๆ”
“มันชัดเจนเลยว่าเราทำให้ บิเอลซา สั่นไหว เพราะถ้าไม่รู้สึกกดดัน เขาคงไม่ต้องถึงขั้นส่งคนมาสอดแนมพวกเรา”
“เขาบอกว่านั่นเป็นเรื่องปกติในประเทศอื่น ๆ ที่เขาคุมทีม แต่ที่อังกฤษไม่ใช่แบบนั้น มันจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่”
วูดเวิร์ด เสริมว่า แม้สุดท้าย ลีดส์ ยูไนเต็ด จะได้เลื่อนชั้นในฤดูกาลถัดมา แต่สำหรับแฟน ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ชัยชนะที่ เอลแลนด์ โร้ด วันนั้นจะเป็นความทรงจำที่ไม่มีวันลืม “มันคือค่ำคืนที่ดีที่สุดในชีวิตของผมในฐานะแฟน แกะเขาเหล็ก”
หลังจากเหตุการณ์ “สปายเกต” ทั้งสองสโมสรต่างเดินเส้นทางที่แตกต่างกัน ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ต้องเผชิญปัญหาการเงินอย่างหนักภายใต้การบริหารของ เมล มอร์ริส จนเข้าสู่ภาวะล้มละลาย ถูกตัดแต้ม 21 คะแนน และตกชั้นสู่ลีกวัน
แต่ทีมก็สามารถกลับขึ้นมาในปี 2024 ภายใต้การคุมทีมของ จอห์น ยูสเทซ หลังคว้าแชมป์เลื่อนชั้นอัตโนมัติ และยังอยู่รอดในแชมเปียนชิปได้สำเร็จ แม้ซีซั่นนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นมากมายและคาดว่าจะยังไม่พร้อมลุ้นเพลย์ออฟก็ตาม
ด้าน ลีดส์ ยูไนเต็ด ภายใต้การนำของ บิเอลซา กลับมาผงาดในปีถัดมา คว้าแชมป์ลีกแชมเปียนชิป และสร้างผลงานยอดเยี่ยมในฤดูกาลแรกของพรีเมียร์ลีกด้วยการจบอันดับ 9 ก่อนจะค่อย ๆ ดร็อปลงจนตกชั้นอีกครั้งในปี 2023
แต่พวกเขากลับมาได้อีกครั้งในซีซั่นล่าสุด ด้วยการคว้าแชมป์ลีกพร้อมเก็บ 100 คะแนนเต็ม และกลับสู่พรีเมียร์ลีกภายใต้การคุมทีมของ ดาเนียล ฟาร์เคอ โดยตั้งเป้าหมายอยู่รอดในลีกสูงสุดให้ได้อีกครั้ง